ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก

ยาอมตะชุด 1 รักษา เบาหวาน ความดัน หัวใจ เก๊าท์ อัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดข้อ ไหล่ติด หมดความรู้สึกทางเพศ ทำให้หลอดเลือดสะอาด สร้างภูมิต้านทาน ใบหน้าอ่อนวัย ไม่มีสิว

นมบัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์

สรรพคุณ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อโรค ช่วยให้ตับ ม้ามแข็งแรง รักษากระเพาะ และลำไส้ รักษาอาการภูมิแพ้ แพ้อากาศ ทำให้ความดันเป็นปกติ ป้องกันการขยายตัวของมะเร็ง ช่วยละลายนิ่ว อุดมด้วยแคลเซียม ตามธรรมชาติ ฯลฯ

น้ำหมัก ผัก ผลไม้ สมุนไพร เพื่อสุขภาพ

ประโยชน์ของเอนไซม์ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง โดยน้ำหมักจะช่วยให้เซล์ต่าง ๆ แข็งแรง มีอายุยืน และให้พลังงานในการกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติทันที ไม่ปล่อยให้ลุกลามเป็นเนื้อร้าย ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ลดคลอเลสเตอรอล ฯลฯ

น้ำชาหมักเพื่อสุขภาพ คอมบูชา

ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ลดอาการปวดศีรษะไมเกรน และโรคข้ออักเสบ ลดอาการผิดปกติของภาวะเมตาบอลิซึม ลดการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ เบาหวาน โรคเครียดและมะเร็ง ยับยั้งเชื้อที่ก่อโรคในระบบทางเดินอาหารหลายชนิด

สมุนไพรปราบมะเร็ง

รวบรวมสมุนไพรไทยที่พิฆาตมะเร็งได้จริง และสามารถปลูกเองได้ง่าย ๆ

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

มาทำน้ำหมักจากมะม่วงกันเถอะ


มาทำน้ำหมักจากมะม่วงกันเถอะ

วันนี้ขอพาผู้อ่านทุกท่านมาชมวิธีทำน้ำหมักจากมะม่วงแบบง่าย ๆ แต่ได้ผลจริง ซึ่งผมได้รับมะม่วงน้ำดอกไม้ ไม่ฉีดยาฆ่าแมลง และไม่ใส่ปุ๋ย มาฟรี ๆ
คือเหตุมีอยู่ว่า ผมได้ทำน้ำหมักมาระยะหนึ่งแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่ง คนใกล้ชิด เป็นโรคชัก ชัก 2 วันติดกันเลย ผมก็เลยให้ลองทานน้ำหมัก ผลปรากฎว่า โรคชักก็ไม่กำเริบขึ้น แต่ยังกินยาหมออยู่ และโรคปวดหัวก็หาย และประจำเดือนที่หมดไปแล้วก็กลับมีขึ้นมาได้ และสุขภาพทั่วไปก็รู้สึกดีขึ้น หน้าตาก็แจ่มใสขึ้น เค้าก็ดีใจมาก พอดีที่บ้านเค้ามีสวนมะม่วงน้ำดอกไม้ เลยให้ผมมา

ก่อนอื่น เรามาดูสรรพคุณของมะม่วงน้ำดอกไม้กันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
กรมอนามัยได้มีการวิจัย 10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง ปรากฎว่ามะม่วงน้ำดอกไม้สุกครองอันดับ 1 ตามด้วยมะเขือเทศราชินี ส่วนฝรั่งกลมสาลี่มีวิตามินซีมากสุด

       คุณค่าทางอาหาร ต่อปริมาณ 100 กรัม
พลังงาน      60 Kcal         โปรตีน        0.6 g.
ไขมัน         0.3 g.           คาร์โบไฮเดรต       15.9 g.
ใยอาหาร     0.5 g.           แคลเซี่ยม    10.0 mg.
ฟอสฟอรัส   15.0 g.         ธาตุเหล็ก     0.3 mg.
วิตามินเอ     133.0 IU      วิตามินซี      36.0 mg.

สรรพคุณ
      ดับกระหาย แก้อาการไอ ละลายเสมหะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ขับปัสสาวะ ช่วยให้เลือดลมของสตรีเป็นปกติ
ที่มา

เรามาเริ่มหมักกันเลยดีกว่า

สูตรนี้เป็นสูตรที่ชาวบ้านนิยมใช้นะครับ จะได้น้ำหมักที่เข้มข้นมาก
สัดส่วนคือ คือ น้ำตาล:ผลไม้:น้ำ คือ 1:3:5
กรรมวิธีที่ผมนำเสนอนี้ขอให้ถือว่าแค่แนะนำนะครับ
ส่วนท่านที่จะทำตาม กรุณาปรับปรุงให้เหมาะสมตามความสะดวกครับ


ขั้นตอนที่ 1. นำมะม่วงมาเรียงไว้บนโต๊ะ




2. เอาแป้งเย็นโรยขาโต๊ะ กันมดขึ้น



3. หาผ้ามาคลุม เพื่อบ่มมะม่วงให้สุก สำคัญมาก ไม่อย่างนั้น แมลงจะมาไข่




4. บ่มได้สัก 3-4 วัน มะม่วงสุกพอดี ชุดนี้ผมหมักได้ 2 ถัง (ถัง 50 ลิตร)
มะม่วงที่นำมาหมักนี้ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลงสีสันภายนอกอาจจะไม่สวย
และต้องระวังเรื่องหนอนของแมลงวันที่เจาะมะม่วงครับ
ถ้าเน่าก็ส่งคืนธรรมชาติเขาไป



5. เฉือนมะม่วงทั้งเปลือกใส่ถาด แล้วใช้ช้อนคว้านเอาแต่เนื้อ เปลือกให้เอาทิ้งไป ถ้าทำ 2 คน จะลงตัวพอดี ช่วยกันเฉือน ช่วยกันขูด



6. เม็ดมะม่วง ทำการขูดเนื้อออกให้หมด เอาแต่เนื้อ เมล็ดทิ้งไป


 

7. นำเนื้อใส่ถุงพลาสติกใส ใบใหญ่มาก 2 ชั้น ซ้อนกัน ให้ได้น้ำหนักเนื้อ ประมาณ 12-15 กก. 



 9. น้ำตาลทรายที่ใช้ ผมใช้ น้ำตาลทรายอ้อย(brown sugar หรือโอทึ้ง) ครึ่งถุง คือ 2.5 กก. และน้ำตายทรายแดง 3 กก. ครับ เพื่อไม่ให้สีของน้ำหมักเข้มจนเกินไป

แต่ถ้าต้องการสีอำพันสวย ๆ ก็อาจใช้น้ำตาลทรายแดง 4 กก. น้ำตาลอ้อย 1 กก.ก็ได้ครับ และจากที่ได้ลองหมักมาพบว่า ถ้าใช้น้ำตาลอ้อยอย่างเดียว โดยส่วนมากผลไม้จะจมลงก้นถังทั้งหมด ภายใน 3 เดือน แต่ถ้าใช้น้ำตาลทรายแดง มักจะเหลือผลไม้บางส่วนลอยอยู่ แม้ว่าจะหมักนาน ถึง 3 เดือนแล้วก็ตามที



 
10. นำน้ำสะอาด (ไม่จำเป็นต้องต้ม) มาผสมกับน้ำตาลให้เข้ากัน ในที่นี้ ต้องใช้ น้ำ 5 ส่วน คือ 25-30 ลิตร  ผมกะ ๆ เอา 
ถ้าผู้อ่านใช้น้ำปะปาต้องเปิดฝาตั้งทิ้งไว้ก่อน 2 คืน เพื่อให้คลอรีนละเหย ส่วนผมใช้น้ำจากบ่อแล้วกรองด้วยเครื่องกรองน้ำแอมเวย์




11. ค่อย ๆ ประคองถุงใส่มะม่วงใส่ลงในถัง แล้วเทน้ำตาลที่ผสมน้ำแล้วลงไป





11.เมื่อเทน้ำใส่แล้วจะเห็นมะม่วงลอยอยู่  สีสันน่ากินมาก กลิ่นหอมอีกต่างหาก



  
12. มัดปากถุง อย่าให้แน่นเกินไป และอย่าให้หลวมเกินไป
เพราะถ้าแน่นเกินไป อากาศจะออกไม่ได้  ถ้าหลวมเกินไป อาจมีหนอนเข้าไปได้
และภายใน 15 วัน ต้องคอยกดผลไม้ ให้จมน้ำทุกวัน หลังจากนั้นก็นาน ๆ กดที
เพื่อป้องกันเชื้อรามาเกาะ
ประมาณ 2-3 เดือน ผลไม้จะจมก้นถัง น้ำหมักจะใส เริ่มนำไปบริโภคได้ แต่ถ้าจะให้ดี ต้องหมัก 1 ปี
ถ้าต้องการวุ้นไว ๆ ผมมีสูตรที่พบโดยบังเอิญ คือ ให้เอาน้ำหมักนี้เทลงระหว่างถุงชั้นที่ 1 และ 2 คือให้มีน้ำปริ่ม ๆ อยู่ ประมาณ 1 เดือน จะเกิดวุ้น บางทีก็เกิดหนอนด้วย แต่ไม่เป็นไร เพราะถุงชั้นในเรามัดปากไว้แล้ว หนอนเข้าไม่ได้  ให้เราเอาวุ้นนั้นเทกลับคืนในถังได้ วุ้นจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่มัดปากถุงวุ้นจะขยายไวมาก แต่เสี่ยงต่อการเกิดหนอนครับ





13. ปิดฝา อย่าให้แน่นจนเกินไป เผื่อให้อากาศเข้าออกได้บ้างเล็กน้อย และอย่าลืมเขียนวันที่ทำปิดไว้ด้วยนะครับ

เสร็จแล้วครับ ไม่ยาก
ขอบคุณทุกท่าน ที่ติดตามนะครับ


การนำไปใช้
เมื่อหมักได้ 2-3 เดือน จนผลไม้จมลงแล้วเกิดน้ำใส ให้ดูดน้ำไปบริโภคได้
ส่วนในถังหมักนั้น ให้เติมน้ำตาลทรายผสมน้ำ ในสัดส่วน 1:5 เหมือนเดิม หมัก 3 เดือน เหมือน เดิม คือดูดน้ำ ออกทำได้เรื่อย ๆ จนครบ 2 ปี ต่อไปให้หมักทิ้งไว้ได้ เป็น 10 ปีก็ได้
หรือจะหมักไว้ทีเดียว 1 ปี 2 ปี 6 ปี หรือ 10 ปี ก็ได้ ยิ่งหมักนานยิ่งดี มาก ๆ ๆ ๆ แต่ที่นิยมส่วนมากคือ หมัก 1 ปี
การหมักไว้นาน  ๆ จะคล้าย ๆ กับการบ่มไวน์ โมเลกุลของตัวยาจะเล็กมากสามารถแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ได้ดีเยี่ยม  และในน้ำหมักยังมอบพลังงานให้กับเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายทำให้ร่างกายมีกำลัง มีภูมิต้านทาน  และพลังงานนี้ระบบภูมิคุ้มกันยังสามารถนำไปใช้ทำลายเซลล์ที่ผิดปกติก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งได้อีกด้วย
และในน้ำหมักมีกรดน้ำส้ม ที่มีประสิทธิภาพ ในการละลายลิ่มเลือด ไขมัน และหินปูน อีกด้วย
สรุปว่า น้ำหมักนี้ มีส่วนช่วยสารพัดโรคครับ

ปล.
ผมได้ทำการหมักเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2555
และได้ลงบล็อกวันนี้  25 เมย. รู้สึกว่า ยีสต์ในถังหมัก ที่ติดมากับมะม่วงตามธรรมชาติเริ่มสำแดงเดชแล้ว แต่ก่อนได้ยินแต่เค้าว่า วันนี้ได้สัมผัสกับตัวเองแล้วครับ มีการส่งเสียงปุด ปุด มีฟองอากาศผุดอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีเวลาพักผ่อนถ้ายีสต์ขยันทำงานอย่างนี้ เดาได้เลยว่า หมักไปนาน ๆ ต้องเปรี้ยวแน่นอน
เพราะยีสต์จะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอลล์ และแบคทีเรียอะซิโตแบคเตอร์จะเปลี่ยนแอลกอฮอล์เป็นกรดน้ำส้มอีกทีหนึ่ง คิดว่าเมื่อหมักได้ที่แล้ว ผมจะลองนำมาดองไข่แล้วจะนำมารายงานผลให้ทราบอีกทีหนึ่งนะครับ
และถ้ามีเวลา ผมจะมาอัพ ผลของการหมักเรื่อย ๆ นะครับ
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงนะครับ สวัสดีครับ


------------------------------------------------------------------------------------------


มาอัพบล็อกครับ
รูปนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2555
ก็หมักได้ประมาณ 2 เดือนครึ่งครับ
สังเกตุน้ำเริ่มใสแล้ว แต่เนื้อมะม่วงประมาณ  20 % เท่านั้นที่ลอยอยู่ ส่วนมากจะจมลงก้นถังกันหมดครับ คิดว่าถ้าใช้น้ำตาลอ้อยทั้งหมดคงจะจมก้นถังหมดแล้วครับ และผมลองชิมดูก็เปรี้ยวดีครับและมีกลิ่นแอลกอฮอล์ด้วย ส่วนรสหวานไม่มีเหลืออยู่แล้วครับ ส่วนน้ำหมักบางส่วนที่คาอยู่ระหว่างถุงชั้น 1 และ 2 นั้น ซึ่งเกิดจากการเทแล้วกระฉอกออกมานั้น  เปรี้ยวมากครับ เปรี้ยวสุด ๆ เท่ากับน้ำส้มสายชูหมักที่ขายตามท้องตลาดเลยครับ



Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Best Blogger TipsBest Blogger Tips