วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เอนไซม์ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อการพอเพียง

คำนำ
            คำว่า “เอนไซม์” เป็นการกำหนดคำหลังจากนักวิทยาศาสตร์พบว่าเป็นโครงสร้างของโปรตีนที่มีสารไวตามิน แร่ธาตุ ออกซิเจน รวมอยู่ตลอด ถึงแม้จะทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว สารดังกล่าวยังคงแตกตัวต่อเนื่องแบบไม่รู้จบ และคงสภาวะปฏิกริยาตามความหนาแน่นของอินทรียวัตถุในแต่ละสิ่งแวดล้อม
            การสร้างสารดังกล่าวเกิดมาเนิ่นนาน ตั้งแต่สมัยพุทธกาลพบว่า น้ำดองน้ำมูตรเน่าบริสุทธิ์ (หมักนานเกินกว่า 1 ปี) ก็จะยังคุณสมบัติของเอนไซม์มากกว่า 8 ชนิดอยู่ และมีความสามารถทำงานอย่างต่อเนื่อง
            ข้าพเจ้าขออนุโมทนาพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ในพระพุทธองค์ ข้าพเจ้าขอน้อมจิตเผยแพร่แด่สาธุชนทั้งหลาย

เนื้อหา
            สำหรับการทำน้ำหมักชีวภาพ หรือ เอนไซม์เพื่อการบริโภคนั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล น้ำสมอดองถือเป็น “น้ำอมตะ และยาอายุวัฒนะ แห่งการรักษาชีวิต”
            ซึ่งหากจะแปลความจากการวิเคราะห์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ น้ำหมักชีวภาพ หรือ เอนไซม์ ก็คือ น้ำมูตรเน่าเถ้าดองที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก สารอินทรีย์ที่ได้จากการหมักนั้นได้ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์แก่มวลมนุษยชาติมานานนับพันปี
            เกือบยี่สิบกว่าปีแห่งการค้นคว้า คณะสงฆ์เครือข่ายภาคอีสาน และชมรมบ้านสุขภาพ ได้ร่วมศึกษาและค้นคว้าพืชผักผลไม้ สมุนไพรต่าง ๆ นานาชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทย
            เราพบว่าการนำผักผลไม้มาหมักตาม ทฤษฎีการแตกตัวของอนุมูลสารอาหาร เพื่อให้เกิดการซึมของน้ำหมัก ซึ่งจะได้สารอาหารซึ่งอยู่ในรูปของสารละลาย ครบ 5 หมู่ ตามความต้องการของร่างกายในสภาวะฟื้นฟูและดูแลจากขบวนการหมัก
            “สารอาหารที่ออกมานั้นอยู่ในรูปของ กรดอะมิโนจากโปรตีน พลังงานจากแป้ง ไวตามินและแร่ธาตุจากผักผลไม้”
            ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็น สารอาหารที่ร่างกายต้องการในระดับต่าง ๆ กัน ในกรณี “สมุนไพร” ก็เช่นกัน นอกจากจะได้สารอาหารต่าง ๆ แล้วยังทำให้สมุนไพรออกฤทธิ์ในการรักษามากขึ้น แต่ไม่มีผลข้างเคียงจากสเตียรอยด์จากน้ำยาง แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่หมักนานมากกว่า 5 ปี จึงจะมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งกรดอะมิโน ไวตามิน เกลือแร่ และออกซิเจนจะออกฤทธิ์อยู่ในรูปสารละลาย และไม่มีผลข้างเคียง
            สารละลายที่ได้รับจากขบวนการหมักดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นตัวลดการเผาผลาญเกินในร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิด เซลล์ผิดปกติต่าง ๆ เช่น เซลล์เนื้องอก เซลล์มะเร็ง เซลล์ที่เกิดการรวมตัวแบบแยกส่วน (MCTD : MIXED CONNECTIVE TISSUE DESEASE) หรือ อาการภูมิแพ้ หรือแพ้ภูมิตนเองให้ลดลง และปรับฮอร์โมนให้ปรกติ



การผลิตน้ำหมักชีวภาพเป็นเทคโนโลยีที่ผมผสานระหว่าง ภูมิปัญญาพื้นบ้านและความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งการที่ จะได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณประโยชน์อย่างไรนั้น จำเป็นที่จะต้องมองถึงองค์ประกอบสำคัญในเรื่องวัตถุดิบ รวมไปถึงสัดส่วน และระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตเอนไซม์
สาระสำคัญที่เกิดขึ้นนี้ หากปฏิบัติถูกวิธีก็จะให้สารที่มีคุณประโยชน์ต่อการบริโภค กล่าวคือ เมื่อกินเข้าไปแล้วเป็นผลดีต่อร่างกาย เช่น จุลินทรีย์แลคติก กรดอะมิโน กรดแลคติก และสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
ทำไมถึงเรียก “เอนไซม์”
เอนไซม์ คือ โปรตีนที่คัดหลั่งมาจากเซลล์ที่มีฤทธิ์กระตุ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสารอื่น ๆ โดยตัวมันเองไม่เปลี่ยนแปลง
ชื่อ เอนไซม์ ถูกเสนอโดยนักสรีรวิทยาชาวเยอรมันในปี 1867 มาจากกลุ่มคำศัพท์ “Enzyme” เป็นคำเรียกสารที่มีโปรตีน และไวตามินอยู่ร่วมกัน และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งการย่อย
กระนั้นเอนไซม์ยังจำแนกได้อีก 700 กว่าชนิด


การหมักน้ำเอนไซม์ มีกระบวนการทางเคมีทางทฤษฎีของการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลจากผลไม้เป็นกรดน้ำส้ม
สูตรทางเคมีคือ CH3COOH  เมื่อสารละลายน้ำแล้ว น้ำส้มสายชูก็จะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของโอโซน (O3) ซึ่งไวต่อการทำลายเซลล์ตายและให้กำลังกับเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่
CH3COH + O + O2     เปลี่ยนเป็น          O3 + 2H2O + 2C (Ash)
กลุ่มทางเคมีในรูปของเอนไซม์ ทีมีชื่อว่า “อะเซททิล โคเอ” (Acetyle Co-A) ทำหน้าที่ควบคุมเอนไซม์ที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ทำให้สารอินทรีย์ถูกย่อยเปลี่ยนรูปเป็น กรดน้ำส้มสายชู และเพิ่มโอโซนธรรมชาติในชั้นบรรยากาศมากขึ้น
ดังนั้น เอนไซม์ คือ สารที่เกิดจากขบวนการแตกตัวสารอาหารด้วยขบวนการ IONIC DISCHARGE
ซึ่งจะให้ สารอาหารที่อยู่ในรูปของ อิออนบวกและลบ ทำให้เกิดการสลายอนุมูลอิสระในร่างกาย ให้เกิดเป็นอนุมูลธาตุ ทำให้เซลล์ลดการตายลงและมีชีวิตต่อไปได้
เมื่อร่างกายได้รับเอนไซม์จากขบวนการดังกล่าวจะช่วยทำให้เซลล์และขบวนการทางเคมีต่าง ๆ ในร่างกายเกิดสภาวะสมดุล จนเกิดการซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญก็คือ กรดอะมิโน สารอาหารในกลุ่ม โปรตีน ไวตามิน และเกลือแร่ คือ ไวตามินบีรวม บี 1  บี 2  บี 12  แร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และชะล้างส่วนที่ตายแล้วให้ออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของเอนไซม์จากการวิจัยดังนี้
1. เอนไซม์ช่วยเปลี่ยนอาหารคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และเส้นใยอาหารให้เป็นกรดอินทรีย์ เช่นกรดแลคติก กรดอะซิติก และกรด บิวทีริก ซึ่งมีความเป็นกรดอ่อน ๆ ทำให้เอนไซม์มีรสเปรี้ยว และช่วยทำให้การขับถ่ายเป็นไปได้อย่างลื่นสะดวก กรดอินทรีย์บิวทีริกเสริมการสร้างดีเอ็นเอ และเพิ่มจำนวนเซลล์บุผิวในลำไส้ใหญ่ให้มีมากแข็งแรงมีอายุยืนกว่าเดิม ทำหน้าที่ต้านเชื้อโรคได้ดี ต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ดี
2. เอนไซม์สร้างไวตามิน B12  ไวตามิน K และไวตามิน B หลายชนิด  บำรุงเม็ดเลือด  เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท และเซลล์ทั่วไป
3. ช่วยสร้างเอนไซม์แลคเตส เพื่อย่อยน้ำตาลในนม ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น
4. สร้างสารต่อต้านเชื้อโรค สารอินทรีย์นี้เรียกว่า แบคทีริโอซิน (bacteriocins) มีหลายชนิด ได้แก่ acidolin, acidophilin, bulgarican, lactocillin และ niacin ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายเช่น เชื้อที่ทำให้เจ็บคอ เชื้อที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (Helicobacter pylori) เชื้อที่เกิดตามผิวหนังที่ทำให้เป็นแผลพุพองเรื้อรังและดื้อต่อยาปฏิชีวนะ (methicillin resistant Staphy lococcus aruecus (MRSA) เชื้อที่ทำให้ท้องร่วง (Escherichia coil, Salmonella , Listeria, Shigella และเชื้อที่ทำให้เกิดเหม็นเน่า (Clostridium perfringens)
5. ช่วยละระดับโคเลสเตอรอลในเลือด
6. ช่วยในการทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีการนำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) ซึ่งจะช่วยยืดระยะเวลาการหมดประจำเดือน และบรรเทาการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วย เนื่องจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมบกพร่อง)
7. ช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการฉายรังสี และเคมีบำบัดหลังการผ่าตัดมะเร็ง ลดอาการแพ้ คลื่นไส้ ผมร่วง ทำให้รับประทานอาหารได้ดีขึ้น และพบว่าทำให้ปริมาณฮีโมโกลบินสูงขึ้นด้วย
8. ช่วยลดการเกิดสารก่อมะเร็งบางชนิด เช่น ไนโตรซามีน
9. ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในสัตว์ทดลอง ทั้งในระดับ ระยะเริ่มต้น (initlation) และระยะส่งเสริม (promotion) ของโรคมะเร็ง และในทางระบาดวิทยา พบว่าในคนมีความสัมพันธ์กับการลดอัตราการเสี่ยงของมะเร็งลำไส้


ขั้นตอนการผลิตเอนไซม์เพื่อการบริโภค
1.  จัดเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งประกอบด้วย
     ผลไม้หรือสมุนไพร : น้ำผึ้ง : น้ำสะอาด  ในอัตราส่วน 3:1:10


2.  นำผลไม้มาทำความสะอาด ถ้าผลไม้ใหญ่ให้แบ่งเป็นชิ้นเล็ก แล้วใส่ในภาชนะตามอัตราส่วนโดยเหลือพื้นที่ 1/5 ของภาชนะ เพื่อให้อากาศภายในมีการหมุนเวียน
3.  ปิดฝาและทำประวัติติดข้างภาชนะหมัก ประกอบด้วย
     * ชนิดของผลไม้   *วันเดือนปีที่ผลิต
4.  เมื่อได้ระยะเวลา 3 เดือนแล้ว เกิดน้ำใส (Ionic plasma) ลอยตัว ให้ดูดออกด้วยสายยางแล้วนำมาขยายต่ออีก ทุก ๆ 3 เดือน เป็นเวลา 3 ปี ในอัตราส่วน  น้ำใส:น้ำผึ้ง:น้ำ  1:1:10
5. ตัวกากที่ก้นภาชนะหมักต่อไปในอัตราส่วนเดิม คือ
กากผลไม้ที่เหลือ
: น้ำผึ้ง 1 ส่วน : น้ำสะอาด 10 ส่วน
6. เมื่อครบ 3 ครั้งแล้ว กากที่เป็นผงตะกอน ให้หมักในอัตราส่วน
กาก 1 ช้อนโต๊ะ : ผลไม้ 10 กก. : น้ำสะอาด 10 ส่วน
     หมักจนได้น้ำใส แล้วเอามาต่ออีกเหมือนตอนต้นไปได้เรื่อย


 ประเภทของผลไม้และสารอาหารที่ได้รับ
หมักผลไม้รสหวาน          ได้วิตามิน  เอ  ดี  อี
หมักผลไม้รสเปรี้ยว         ได้วิตามิน ซี เค
หมักจากข้าว                  ได้วิตามิน บี ซี อี
การสังเกต
วิตามินบี                        จะมีกลิ่นเหม็นอมเปรี้ยว
วตามินซี                        จะมีกลิ่นเปรี้ยว สีส้ม
วิตามินเค                       จะมีสีแดง
วิตามินดี                        จะมีกลิ่นหอม
วิตามินอี                        จะมีสีใส

การนำเอนไซม์มาใช้เพื่อการบริโภค
การนำเอนไซม์มาใช้เพื่อการบริโภคนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึง
1. ค่า PH ต่ำกว่า 4
2. ประจุไฟฟ้า 1,000 – 2,000 ไมโครซีเมนต์
3. ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 1 และไม่มีเมทธิลแอลกอฮอล์ ซึ่งแก้ได้โดยการผสมน้ำเพิ่ม 10 เท่า จะไม่มีแอลกอฮอล์


การผสมเอนไซม์พร้อมดื่ม
1. เอนไซม์ 1 ปีขึ้นไป 1 ส่วน ต่อน้ำผึ้ง 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน นำมาผสมในภาชนะ (ถ้าใช้น้ำผึ้งที่มีความชื้น 20 % สามารถดื่มได้ทันที แต่น้ำผึ้งธรรมดาต้องหมักไว้ 3 เดือน) จึงนำมาดื่มได้
2. ถ้าไม่ดื่มโดยทิ้งไว้จนครบ 3 เดือน สามารถนำมาขยายต่อในอัตราส่วนเดิมได้อีก คือ น้ำเอนไซม์ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน + น้ำ 10 ส่วน (เอนไซม์ที่นำมาขยายควรมีอายุการหมักตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เมื่อนำมาขยายแล้ว ประสิทธิภาพจะไม่ลดลง แต่จะได้ปริมาณมากขึ้น และประหยัด)

น้ำเอนไซม์ที่ผ่านขบวนการหมัก
สามารถนำมาประยุกต์ทำอะไรได้บ้าง

อายุ 2 ปี นำมาผสมกับน้ำด่าง สามารถนำมาผลิตทำแชมพูสระผม น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน สบู่น้ำ เป็นต้น
อายุ 4 ปี ใช้หัวเชื้อ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผลไม้ 3 ส่วน น้ำ 10 ส่วน หมักต่อไป 15 วัน สามารถนำมาทำน้ำยาบ้วนปาก ล้างแผลสด แผลอักเสบ พุพอง งูสวัด และล้างสารพิษในพืชผักผลไม้
โดยนำเอนไซม์จำนวน 2 ลิตร หมักกับข้าวสุก 10 กก. และน้ำผึ้ง 1 กก. ใส่น้ำท่วมข้าว หมักภายใน 15 วัน จะได้น้ำเอนไซม์ ส่วนข้าวสุกที่หมักแล้ว นำมาใส่น้ำท่วมข้าว หมักอีก 15 วัน ได้น้ำ Enzyme ทำได้ 3 ครั้ง จนข้าวเป็นผง
อายุ 6 ปี ขยายหัวเชื้อ 1 ส่วน น้ำผึ้ง 1 ส่วน น้ำ 10 ส่วน ดื่มได้เลย เมื่อเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีแก๊ส ท้องเสีย 20-30 ซีซี ใช้ทำผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ผิวพรรณ ใบหน้า ตา จมูก ช่องปาก คอ ดับกลิ่นตัวในร่มผ้า เท้า ให้สะอาด และสดชื่น
อายุ 6-10 ปี ขึ้นไป ใช้ดองสมุนไพรเป็นเวลา 1 เดือน จะได้ประสิทธิภาพตามคุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละตัวเพิ่มขึ้น ควรรับประทานวันละ 1 ครั้ง (3-10 ซีซี) ก่อนหรือหลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง


ที่มา : หนังสือ เอนไซม์ น้ำหมักชีวภาพเพื่อการพอเพียง
         โดย ดร.รสสุคนธ์  พุ่มพันธ์ุวงศ์  บรรณาธิการ

ดาวน์โหลดบทความ ในรูปไฟล์เอกสาร

เอนไซม์_น้ำหมักชีวภาพเพื่อการพอเพียง เอกสาร pdf ขนาด 1.2 MB
เอนไซม์_น้ำหมักชีวภาพเพื่อการพอเพียง เอกสาร word ขนาด 0.4 MB
วิธีการปริ๊นท์หนังสือ "เอนไซม์ น้ำหมักชีวภาพเพื่อการพอเพียง"  เอกสาร pdf ขนาด 1.88 MB



12 ความคิดเห็น:

ลองทำดูแล้วค่ะ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดเดียว เช่น มะเฟือง ได้หรือไม่ค่ะ เพราะเป็นผลไม้ที่ไม่ต้องซื้อ นอกจากนี้เปลี่ยนจากน้ำผึ้งเป็นน้ำตาลจะได้ไหมค่ะ

ใช้มะเฟืองได้ครับ ดีด้วย คิดว่ามะเฟืองจะช่วยคนที่มีโรคเกี่ยวกับโรคข้อต่าง ๆ ได้ดี
ถ้าไม่มีน้ำผึ้งใช้น้ำตาลทรายแดงป่น(brown sugar) ก็ได้ครับ
และที่ผมทำ ผมไม่เคยใช้น้ำผึ้งเลย เพราะเสียดาย
ผมจะเอาน้ำผึ้งผสมน้ำเอนไซม์
เวลาทานเท่านั้นครับ
_________________
ถ้าหมักด้วยน้ำตาล สูตรที่ใช้กันทั่วไปคือ
น้ำตาล:ผลไม้:น้ำ = 1:3:5 และหมักทิ้งไว้ 1 ปี
ด้วยเหตุผลดังนี้
1. ได้น้ำที่เข้มข้นดี
2. เป็นฝ้าหรือเชื้อราได้ยากกว่า
3. เพราะผมอยู่ต่างจังหวัด ผลไม้ต่าง ๆ ขอยกตัวอย่างกล้วยนั้น
ราคาถูกมาก ครับ กก.ละ 3 บาท(สามบาท)เองครับ โดยเหมาจากสวน

และผมเคยทำลองเทียบกัน ระหว่าง สูตรที่ใช้ น้ำ 5 ส่วน กับน้ำ 10 ส่วน
ผมชอบสูตร 5 ส่วนมากกว่าเพราะเข้มข้นดี ไม่เปลืองถัง
เวลาดื่มก็นำมาผสมน้ำกับน้ำผึ้งอีกทีหนึ่งครับ
และถ้าเราสามารถควบคุมเรื่องความสะอาดได้
เราหมักไว้เพียง 3 เดือน ก็สามารถนำมาบริโภคได้แล้วครับ
ถ้าใจร้อนจริง ๆ ก็หมักแค่ 28 วันก็ได้ครับ
โดยอาจจะหมักแยกหลาย ๆ ถัง
ถังแรกหมักแค่ 28 วัน แล้วนำมาทานก่อนก็ได้
ส่วนถังอื่น ๆ ก็หมักทิ้งไว้ให้ครบ 1 ปี

มีท่านนึงถามเรื่องเกี่ยวกับการคนและการเขย่าว่าจำเป็นไหม
แต่พอดีผมกำลังลบความเห็นที่โพสต์เข้ามาซ้ำ ๆ กัน
และเผลอลบไปคำถามนี้ไปด้วยก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
- การคนนั้น เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจเหมือนกัน สำหรับผู้ที่หมักในถัง 50 ลิตร
ถ้าต้องคน แล้วเปิดบ่อย ๆ ก็มีผลเสียคือ
1. เชื้อโรคจากอุปกรณ์ที่คนอาจปนเปื้อนเข้าไปได้
2. แมลงต่าง ๆ อาจฉวยโอกาสเข้าไปเกาะและไข่ได้
3. เสียเวลา... และยากลำบากมากในกรณีที่ใช้ถุงพลาสติกรองในถัง

ดังนั้นเวลาผมหมักในถัง 50 ลิตร ผมจะใช้ตามสูตรนี้ที่ผมได้เคยเอาลงไว้แล้ว
ลองอ่านดูนะครับ

http://yaamata.blogspot.com/2012/07/blog-post_3402.html

การหมักจะหมักในถัง โดยจะใช้ถุงพลาสติกรองก่อน 2 ชั้น แล้วใช้วิธีกดผลไม้ให้จมโดยไม่ต้องเปิดปากถุงครับ

- การคนหรือการเขย่านั้น จำเป็นมากครับ ถ้าไม่อย่างนั้นเชื้อราจะเกาะผลไม้ที่ลอยอยู่ครับ
เราต้องคน หรือเขย่า หรือกดให้จมน้ำ ภายใน 1 เดือนก็พอครับ หลังจากนั้นก็นาน ๆ ที
ประมาณ เดือนละครั้ง หรือ 2-3 เดือนครั้งก็ได้ ถ้าหมักไประยะหนึ่งประมาณ 3 เดือนผลไม้จะจมหมดครับ
แต่ก็มีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคือ ชนิดของผลไ้ม้ ความสุกของผลไม้ และน้ำตาลที่ใช้ด้วยครับ
- ซึ่งจากที่ผมทำแล้ว เมื่อหมักไปได้ระยะนึง ผลไม้ก็มีทั้งจมหมด และมีทั้งจมด้วยลอยในถังเดียวกันก็มีครับ
- ผลไม้ที่มักจมเช่น กล้วยสุกที่หมักกับน้ำตาลทรายแดงป่น ถ้าหมักกับน้ำตาลทรายแดงเม็ดใหญ่ ๆ มักจะมีผลไม้ลอยบางส่วน
- ผลไม้ที่มักลอยเช่น ลูกยอ
- ภาชนะที่ใช้คนนั้น ต้องล้างให้สะอาด แล้วผึ่งให้แห้ง ห้ามใช้ผ้าเช็ด ห้ามเปียกน้ำ
- ถ้าหมักในภาชนะปากแคบ เช่น ถังน้ำดื่ม 5 ลิตร ก็ใช้วิธีเขย่า หรือปิดฝาให้สนิทแล้วคว่ำขวดก็ได้ จุดประสงค์เพียงเพื่อให้น้ำมาท่วมผลไม้บ้างก็พอครับ(เขย่ามากไปก็ไม่ดีครับเห็นเค้าว่าจะเกิดซัลเฟอร์อะไรนี่แหละครับ) ผมเคยทำด้วยวิธีนี้ (ทั้งเขย่าและคว่ำขวด) ก็ไม่มีปัญหาเรื่องเชื้อรามาเกาะ
- เรื่องการปิดขวดนี่ก็สำคัญครับ คือเวลาหมักต้องเหลือเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 5 สำหรับอากาศออก ต้องปิดฝาให้สนิท ถ้าปิดไม่สนิท แมลงจะเข้าไปไข่ได้ ไม่รู้มันเข้าได้ไง เราต้องหาความพอดีเอา ต้องอาศัยประสบการณ์ประกอบเหมือนกันครับ มันก็มีวิธีให้อากาศออกได้หลายวิธีครับ เช่น
1.ถ้าเป็นภาชนะปากแคบก็ปิดให้เกือบสนิทได้ ซึ่งส่วนมากก็ใช้วิธีนี้ ก็ต้องกะ ๆ เอาครับว่า มันพอดีตรงไหน ระหว่างให้อากาศเข้าได้ แต่หนอนเข้าไม่ได้ ผมคิดว่าบางทีนะครับแมลงมันมาไข่ที่ปากแต่หนอนตัวเล็ก ๆ มันไต่เข้าไปในถังเองได้ อันนี้ความคิดส่วนตัว เพราะว่าบางถังที่ฝามันปิดได้ไม่สนิทแต่คิดว่าแมลงเข้าไปไม่ได้แน่ ก็ยังมีหนอนเิกิดขึ้นได้
2.หรือใช้ถุงพลาสติกครอบแล้วมัดด้วยหนังยางให้แน่นพอประมาณก็ได้ อันนี้ผมคิดขึ้นเองเนื่องจากได้ขวดเบียร์มา มันไม่มีฝา ผมเลยเอาถุงพลาสติกครอบแล้วใช้ยางรัด โดยผมถ่ายน้ำหมักสับปะรดจากถังใหญ่ลงขวดเบียร์ เพื่อต้องการหมักให้เป็นน้ำส้ม เพราะคิดว่าเราหมักเป็นน้ำส้มมันระยะยาว เอาใส่ขวดแก้วน่าจะเหมาะกว่าอยู่ในถังหมัก และเพื่อให้จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดน้ำส้มทำงานได้สะดวกด้วย ปรากฎว่าได้ผลดีเกินคาด คืออากาศจะสามารถเข้าออกได้ โดยแมลงและเชื้อโรคต่าง ๆ จะไม่สามารถเข้าไปกวนได้
3. หรือถ้าเป็นถังพลาสติก 50 ลิตร ก็ทำตามลิ้งค์ที่ผมแนะนำไว้ด้านบนก็ได้ครับ
ผมอ่านที่ผมพิมพ์แล้ว ก็รู้สึกว่าอธิบายยาวไป และวก ๆ วน ๆ ยังไงไม่ทราบ ก็ไม่รู้จะตัดตรงไหนออก ยังไงถ้าอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ พอดีอธิบายไม่ค่อยจะเป็นครับ ขอให้สนุกกับการหมักนะครับ แต่ยังไงน้ำหมักนี่ถึงจะทำเสียยังไงก็ไม่ทิ้งครับ เพราะสามารถนำไปรดน้ำต้นไม้ นำไปทำผลิตภัณฑ์ำทำความสะอาดได้ ถ้าว่าง ๆ ผมจะเขียนบทความเรื่องการทำน้ำยาอเนกประสงค์ด้วยวิธีง่าย ๆ ตามสไตล์ผมครับ

ตอนนี้หมักไว้เยอะครับ อยากถามผู้รู้ครับ ว่าบางคนที่ดื่มน้ำหมักที่ว่านี่ทำไมตับถึงอักเสบครับ โดยเฉพาะพวกเบหวานครับ อย่างผมนี่ ค่าเอ็นไซม์ตับขึ้นทุกตัวครับ พอหยุดทาน 2 อาทิตย์ก็เริ่มปกติครับ น้ำหมักอายุเกิน 1 ปี และ เกิน 12 ปี

- การนำอะไรก็แล้วแต่เข้าร่างกาย ก็ย่อมมีผลต่อร่างกาย
ระบบการทำงานของร่างกายต้องนำสารบางอย่างไปใช้งาน
และนำสารบางอย่างออกจากร่างกาย
ตับและไต เป็นอวัยวะที่สำคัญที่กำจัดสารที่ไม่ต้องการออกจากร่างกาย
การทานยาทุกอย่าง ย่อมมีผลต่อตับ
- ดังนั้นคนที่เป็นโรคตับอยู่แล้ว ต้องระวังให้มากเกี่ยวกับการใช้ยาทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร ยาแผนโบาราณ หรือยาแผนปัจจุบัน
- คำที่ว่าตับอักเสบ อาจจะไม่ใช่อาการที่แย่เสมอไป แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ
อย่างกรณีที่คนเล่นกล้ามนั้น ก็จำเป็นต้องให้กล้ามเนื้อนั้นอักเสบ
แล้วร่างกายจะสร้างกล้ามเนื้อใหม่ขึ้นมา และแข็งแรงกว่าเดิม
- กรรมวิธีการหมักก็มีส่วน ปริมาณที่ใช้ก็มีส่วน ต่อประสิทธิภาพ และผลข้างเคียงของน้ำหมัก
- คนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว แสดงว่าตับมีปัญหา ผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ
- มันเป็นการยากที่จะบอกว่าตับอักเสบเกิดจากอะไร เพราะองค์ความรู้ในด้านนี้
หมอปัจจุบันไม่ยอมรับ(ไม่รู้ทำไม) มันจึงเป็นการปิดกั้นการวิจัยทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
จึงต้องอาศัยหมอชาวบ้านทั่วไปวิเคราะห์กันเอง
- แต่บางทีมันก็เป็นเพียงค่าที่บอกว่าตอนนี้ตับกำลังทำงานอย่างหนักเท่านั้น เพราะการเช็คว่าตับอักเสบนั้น
เค้าอาศัยการเช็คสารชนิดหนึ่งที่ตับผลิตขึ้นมา ซึ่งยังไม่แน่นอนเสมอไปว่าตับอักเสบจริง
- บางทีมันก็เป็นการถอนพิษ ซึ่งส่วนมากจะเป็นกันมากสำหรับผู้ที่ใช้ยาแผนปัจจุบันมานาน
ซึ่งพิษของยาเหล่านั้นมันจะสั่งสมในตับ ไต และกล้ามเนื้อต่าง ๆ เมื่อน้ำหมักไปล้างยาเหล่านี้ออกมา
ก็เป็นหน้าที่ของตับและไตที่ต้องขับมันออกจากร่างกาย
ซึ่งจะมีอาการข้างเคียงในระยะแรก ๆ ของการดื่มน้ำหมักเท่านั้น ซึ่งจะเป็นกันมากสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว
ต่อเมื่อดื่มไปได้ระยะนึงแล้วร่างกายจะปรับเข้าสู่สภาวะปกติครับ
- คนส่วนมากที่ทานน้ำหมักจะไม่มีอาการตับอักเสบนะครับ ถ้าคุณวิตกในเรื่องนี้ก็เลิกได้ครับ
และอาการทุกอย่างก็จะเป็นปกติครับ
- แต่ถ้ายังมีความสนในในด้านการใช้ยาที่ใช้กรรมวิธีตามธรรมชาติ ก็ยังมีสูตรยาเบาหวานอีกหลายตัวที่เหมาะสมกับโรคนะครับ
- ผมเคยได้ยินคุณลุงคนนึง ท่านแนะบอกว่า ท่านเป็นเบาหวานตอนนี้ดีขึ้นแล้ว กว่าจะเจอยาสมุนไพร
ที่ถูกกับโรคของตัวก็ต้องเปลี่ยนยาสมุนไพรมาประมาณ 3 ครั้ง
และการทานยานั้น ก็ต้องทานเป็นระยะเวลาถึง 1-3 เดือน ไม่ใช่ทานแค่อาทิตย์เดียวก็สรุปผลแล้ว
เพราะการทำงานของยาสูตรธรรมชาตินี้ จะเป็นการฟื้นฟูอวัยวะที่เสื่อมให้กลับมาทำงานเป็นปกติ
ซึ่งต้องใช้เวลามาก ต่างจากยาแผนปัจจุบัน
- มีอยู่คนนึงเป็นไทรอยด์ ทานน้ำหมักจนสุขภาพดีขึ้นมาก เหมือนคนปกติ ผ่านไป 2-3 ปี เกิดความประมาท ไม่รักษาสุขภาพ ไม่ไปตรวจสุขภาพตามที่หมอนัด ไม่ยอมทานยา เลิกกับภรรยา มีปัญหาชีวิต แล้วกินแต่เหล้า สุดท้ายก็ต้องเสียชีวิตลง เพราะไม่รักษาสุขภาพของตัวเอง
- การดูแลรักษาสุขภาพ ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นโทษโดยเฉพาะของแสลงโรค ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้เบิกบานปล่อยวางต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้เป็นกังวล และรักษาศีล 5 นั้นเป็นหัวใจหลักของการรักษาสุขภาพกายและใจ กายและใจต้องรักษาไปควบคู่กัน จึงจะสัมฤทธิ์ผล ส่วนน้ำหมักนั้นเป็นส่วนเสริมเท่านั้นเองครับ อย่างคนที่สุขภาพดีสัก 60% เมื่อทานน้ำหมักแล้ว ก็อาจช่วยได้ 20% ก็เพิ่มเป็น 80% ก็ถือว่า OK มากแล้วครับ พอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ก็ดีมากแ้ล้วครับสำหรับคน ๆ นึงครับ
- ขออภัยที่อาจตอบไม่ตรงคำถามเท่าไหร่ครับ คือผมคิดว่าถ้าตอบว่า "ไม่ทราบ" สั้น ๆ มันก็ยังดูกระไรอยู่น่ะครับ คือไหน ๆ ก็เข้ามาดูในบล็อคแล้วฝากความเห็นไว้ ผมก็อยากตอบให้ครบทุกคนน่ะครับ

พี่ชายกินเหล้าขาวแบบคนต่างจังหวัดกินมานานมากมีปัญหาคือท้องโตเต็มไปด้วยนำ้ถ้าให้กินนำ้หมักสมุนไพรมีผลร้ายไม๊คะขอสูตรหมักสมุนไพรเกี่ยวกับภายในพวกตับ ไต ขอบพระคุณล่วงหน้าเลยค่ะ

ลองหาคำว่า การล้างตับ ในกูเกิ้ลดูนะครับ อาจจะช่วยได้

ถ้าจะทำน้ำหมักให้มีอายุ 10 ปี โดยใช้สูตร 5:3:1
ในระหว่างที่รอให้ครบ 10 ปี ในแต่ละปีเราต้องใส่น้ำตาลเพิ่มหรือเปล่าคะ

รังผึ้งที่คั้นน้ำออกแล้วเอามาหมักเอนไซม์ได้มั้ยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลดีมีประโยชน์ค่ะ

สวัสดีครับ ขอเรียนถามครับ ผมมีน้ำหมักลูกยอ มะขามป้อม บรเพ็ด สมอ กระชาย อายุการหมัก 8ปี จะทำอย่างไรดี เขาเพิ่งให้ผมมา

แสดงความคิดเห็น

Best Blogger TipsComment Options - You Can Add Images, Colored Text And Marquee Text To Your Comment.

Image - [im]Image URL Here[/im]
Colors - [co="red"]Comment Text Here[/co] - Change Red To The Color You Want.
Marquee - [ma]Comment Text[/ma]
Get This - Blogger Comment Script

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Best Blogger TipsBest Blogger Tips