ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก

ยาอมตะชุด 1 รักษา เบาหวาน ความดัน หัวใจ เก๊าท์ อัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดข้อ ไหล่ติด หมดความรู้สึกทางเพศ ทำให้หลอดเลือดสะอาด สร้างภูมิต้านทาน ใบหน้าอ่อนวัย ไม่มีสิว

นมบัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์

สรรพคุณ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อโรค ช่วยให้ตับ ม้ามแข็งแรง รักษากระเพาะ และลำไส้ รักษาอาการภูมิแพ้ แพ้อากาศ ทำให้ความดันเป็นปกติ ป้องกันการขยายตัวของมะเร็ง ช่วยละลายนิ่ว อุดมด้วยแคลเซียม ตามธรรมชาติ ฯลฯ

น้ำหมัก ผัก ผลไม้ สมุนไพร เพื่อสุขภาพ

ประโยชน์ของเอนไซม์ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง โดยน้ำหมักจะช่วยให้เซล์ต่าง ๆ แข็งแรง มีอายุยืน และให้พลังงานในการกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติทันที ไม่ปล่อยให้ลุกลามเป็นเนื้อร้าย ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ลดคลอเลสเตอรอล ฯลฯ

น้ำชาหมักเพื่อสุขภาพ คอมบูชา

ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ลดอาการปวดศีรษะไมเกรน และโรคข้ออักเสบ ลดอาการผิดปกติของภาวะเมตาบอลิซึม ลดการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ เบาหวาน โรคเครียดและมะเร็ง ยับยั้งเชื้อที่ก่อโรคในระบบทางเดินอาหารหลายชนิด

สมุนไพรปราบมะเร็ง

รวบรวมสมุนไพรไทยที่พิฆาตมะเร็งได้จริง และสามารถปลูกเองได้ง่าย ๆ

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รักษา สิว และมะเร็ง ด้วย นมบัวหิมะธิเบต และแฟลกซ์ซีด



      ผู้เขียนบล็อคได้พบบทความ ในการรักษาสิว และมะเร็ง อย่างง่าย ๆ  จึงขอนำมาฝาก ตามสไตล์เดิม คือถ้ามีบทความไหนที่มีผู้ได้ทำไว้แล้ว ก็จะก็อปปี้มา และใส่ลิ้งค์ของที่มา และลิ้งค์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เนื้อหามีความสมบูรณ์ ในแง่ของ สรรพคุณ หลักการทำงานของยา ผลงานวิจัยที่สนับสนุน  และวิธีรักษา

 Dr. Johanna Budwig ซึ่ง เป็นผู้ที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไขมันและมะเร็ง และที่รู้สึกทึ่งคือ ดร.คนนี้ได้ใช้วิธีการเหมือนกับที่เราใช้รักษาสิวกันนี้ คือ หลัก น.ส. 4 อ. ร่วมกับการกิน flaxseed oil พร้อมกับโปรตีนหรือโยเกิร์ต (อาหารโปรตีนสูง) แล้วทำให้คนไข้มะเร็งระยะสุดท้ายที่หมอบอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ชั่วโมง

         เธอก็เอาคนนั้นมารักษาด้วยวิธีของเธอ ปรากฎว่าคนไข้ดีขึ้นภายใน 3 วันและไม่ตาย ผลงานวิจัยของเธอนั้นบอกว่า เธอได้ตรวจตัวอย่างเลือดของคนหลายพันคน และได้ข้อสรุปมาว่า

"คนที่มีสุขภาพดีจะมีโอเมก้า 3 มากกว่าคนที่ป่วย"

แล้วเกี่ยวยังไงกับเรา?
ยังไม่ขอลงรายละเอียดที่นี่นะคะ แต่จะขอยกเคสที่เค้าเอามาโพสต์ในกระทู้เรื่องสิว ที่ว่ากินบัวหิมะ ร่วมกับ Flaxseed oil แล้วทำให้สิวหาย

ต้นฉบับ
     Caucasian Kefir, a natural, God given, pro-biotic drink (which you ferment yourself with
the Kefir culture grain in milk, so it's dirt cheap!!) to fix skin problems and many many more ailments from the inside out.
It will treat acne much faster than Roaccutane, and has no known side effects, you can't beat nature!!! Search the internet for "Caucasian Kefir." Some people give it away free if you can't find it free search at ebay or other online sites that sell it.
      Here is a testimonial Posted: Sat Dec 01, 2007 5:03 am Post subject: Acne gone in three weeks, wow!!
      I'm 49 years old and developed acne in my early 40's. My son had acne as a teenager and went on roaccutane (horrific drug).
      It cured his acne, but I certainly wouldn't recommend it.
      My daughter had serious cystic acne and wanted to go on roaccutane as well recently, which I was very much against, but she is 20 years old and has suffered for years.
      It has scarred her back, chest, her upper arms, and of course her face. I couldn't understand why we had this problem, because we have the perfect diet (I thought).
      I was diagnosed with stage four breast cancer five years ago and we did a drastic change of diet, as in extreme healthy.
       Also, there is no history of skin disorders on either side of the family. The skin problems, however, persisted.
Four months ago I started making kefir with kefir grains that I bought on the internet... if you google you will find several suppliers. Also some people will send them for free.
I happened to start taking Udo's oil and fish oil at the same time. It was a coincidence. My skin was clear within three weeks.
I had to persuade her to use the kefir and flx oil/fish oil combination. She's used to me trying out all sorts of combinations over the years.
My daughter had just finished a course of antibiotics for her skin (very much against my wishes as I think that in most cases antibiotics are a waste of time and dangerous to boot), and was clamouring for the roaccutane.
 Finally she gave in and within three weeks (NOT kidding here, it happened so fast, just like for me) she was clear. We drink the kefir and take the oils at the same time.
I looked up 'Kefir Flax oil' in google and came up with Dr. Johanna Budwig, who was a German scientist who claimed to cure cancer with a flaxseed/quark (kefir, cottage cheese...) combination.
 It sounds far-fetched but actually she was nominated for a noble prize six times. Alot of info on good fats/oils was discovered by her.
 On top of clearing our skin beautifully (no lumps, bumps, irritations of any kind... we have great energy.
This has worked for us and I wanted to share it.
From Barry Hilton who has been using Kefir for many years. Acne and Excema Treatment:
Caucasian Kefir cultured milk instructions:
LEAVE CRUST (which forms) dry and do not remove at night. Clean off the following morning.
Even some cases of severe excema heals after 4 days and you will be amazed how quickly it will treat Acne. (18/24 hrs fermented Kefir Culture Milk).


แปล
           บัว หิมะคอเคเซียน เครื่องดื่มจุลินทรีย์ธรรมชาติที่สวรรค์ประทานมา (ที่หมักได้เองด้วยเชื้อบัวหิมะในนม ถูกมาก) เพื่อรักษาโรคผิวหนังและโรคอื่น ๆ จากภายใน มัน รักษาสิวได้เร็วกว่าโรแอคคิวเทน เสียอีก และไม่มีผลข้างเคียงด้วย คุณสู้ธรรมชาติไม่ได้หรอก!! ค้นหาในอินเตอร์เน็ตด้วยคำว่า "บัวหิมะคอเคเซียน" คุณจะพบว่าบางคนก็แจกจ่ายมาฟรี ๆ หรือถ้าหาไม่ได้ ก็ไปที่อีเบย์หรือเว็บไซท์อื่น ๆ ที่เค้าขายกันก็ได้

        นี่เป็นคำยืนยันจากการใช้ โพสต์เมื่อเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2007 เวลาตี 5:03 หัวข้อ สิวหายใน 3 สัปดาห์   ว้าว!!
      ฉันอาุยุ 49 ปีและเริ่มมีสิวเมื่อฉันเริ่มเข้าสู่วัย 40 ลูกชายของฉันก็มีสิววัยรุ่น และกินโรแอคฯ (ยายอดแย่)มันก็ช่วยเรื่องสิวของเค้านะ แต่ฉันไม่แนะนำแบบนั้นแน่ ๆ ลูก สาวของฉันมีปัญหาสิวหนองอย่างรุนแรงและกินโรแอคฯเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งฉันต่อต้านมาก ๆ แต่ตอนนี้เธออายุ 20 ปีแล้วและก็ทรมานกับมันมานาน มันทำให้ หลัง แขนส่วนบน และหน้าเป็นรอยแผลเป็น ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเราถึงมีสิว เพราะเรากินอาหารที่ดีต่อสุขภาพมาก ๆ (ฉันคิดว่างั้นนะ)

            ฉัน ถูกวินิจฉัยเมื่อห้าปีก่อนว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 และหลังจากนั้น พวกเราก็เปลี่ยน รูปแบบการกินโดยสิ้นเชิงมาเป็นแนวสุขภาพมาก ๆ และในประวัติครอบครัวของเราก็ไม่มีใครเป็นสิวด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ฉันและลูก ๆ ก็ยังคงมีสิวอยู่  สี่ เดือนที่แล้ว ฉันเริ่มกินบัวหิมะที่ซื้อมาจากอินเตอร์เน็ต...ถ้าหากคุณกูเกิ้ลดู คุณจะเจอซัพพลายเออร์หลายเจ้ามาก ๆ และบางคนก็ไม่คิดเงิน และ ฉันก็เริ่มกินน้ำมันอูโด (บีมคิดว่าเป็นน้ำมันที่ถือว่าเกรดดีต่อสุขภาพมาก ๆ สำหรับฝรั่งนะคะ เห็น Seppo ก็พูดถึง) และก็กินน้ำมันปลาในเวลาเดียวกัน มันบังเิอิญมากค่ะ สิวของฉันหายใน 3 สัปดาห์  ลูก สาวของฉันพึ่งจะกินยาปฏิชีวนะครบโดส (ฉันไ่ม่อยากให้กินเลย เพราะฉันคิดว่ายานี่ทำให้เสียเวลาและก็อันตรายด้วย) และเรียกร้องจะกินโรแอคฯฉันต้องหว่านล้อมเธอให้ใช้บัวหิมะและกินน้ำมันปอ (flax oil) หรือน้ำมันปลาด้วยกัน แต่เธอก็ยังลองอย่างอื่นอีกหลายปี สุดท้ายเธอก็ยอมและภายใน 3 สัปดาห์ (ไม่ได้ล้อเ่ล่นนะ มันเกิดขึ้นเร็วมาก เหมือนของฉันเลย) หน้าก็หายจากสิว เราดื่มบัวหิมะและน้ำมันที่ว่านันไปพร้อม ๆ กัน



ฉัน หาใน กูเกิ้ลดู น้ำมันปอบัวหิมะ และก็มาเจอ ดร.โจฮันน่า บัดวิก (สะกดถูกมั้ยเนี่ย) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันผู้ซึ่งประกาศว่าสามารถรักษามะเร็งได้ด้วยการกิน เมล็ดปอ (flaxseed) และโปรตีน (บัวหิมะ และชีส...)
      ดูเหมือนเกินจริง แต่ว่าเธอได้รับการเสนอชื่อให้เข้ารับรางวัลโนเบลถึง 6 ครั้ง มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับไขมัน/น้ำมันที่เธอได้ค้นพบ
     ยิ่งไปกว่าการมีผิวสวย (ไม่มีตุ่ม ปุ่ม การระคายเคืองใด ๆ ) เรามีพลังงานเหลือเฟือ


นี่เป็นสูตรที่เราใช้แล้วหายและฉันต้องการแบ่งปันให้กับคุณ


วิธีทำนมหมักบัวหิมะ:

จาก แบรี่ ฮิลตันผู้ซึ่งใช้บัวหิมะมาเป็นเวลาหลายปีในการรักษาสิวและโรคเรื้อนกวาง

Drink half a litre daily; moreover, rub some (36/48 hrs fermented Kefir Cultured Milk) into the affected areas.

     ดื่มนมหมักครึ่งลิตรต่อวัน และถูนมหมักบางส่วน (หมัก 36 หรือ 48 ชั่วโมง) บริเวณที่เป็นสิวหรือโรคผิวหนัง  ปล่อยให้มันเคลือบผิวอย่างนั้นล่ะ ไม่ต้องล้างออกในตอนกลางคืน ค่อยมาล้างตอนเช้าของอีกวัน
โรคเรื้อนกวาง ที่ว่ารักษายาก ดีขึ้นภายใน 4 วัน และคุณจะแปลกใจที่มันรักษาสิวได้เร็วมาก ๆ (โดยใช้นมหมัก 18 หรือ 24 ชั่วโมง)

เมล็ดแฟล็กซ์ซีด


 นมบัวหิมะธิเบต



     ลิ้งค์บทความที่เกี่ยวข้อง

ดร.โจฮันน่า บัดวิก 2  แปลโดยกูเกิ้ล



วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

น้ำส้มสายชูหมัก รักษา 100 โรค ตอนที่ 1 สรรพคุณของน้ำส้มสายชู และ ไข่ไก่


หนังสือ มหัศจรรย์แห่ง ไข่ไก่
& และน้ำส้มสายชูหมัก
รักษา 100 โรค
เรียบเรียงโดย ชาตรี แซ่บ้าง
--------------------------------------------------
เสียงอ่านหนังสือ ผมขออนุญาตอ่านให้ฟังในบทความนี้
 ^_^
 ถ้ามีคนสนใจ ผมจะทยอย ๆ อ่าน ในบทความอื่นด้วย
ส่วนตัวควบคุมเสียงอยู่ด้านล่างนะครับ
....................

มีข้อบกพร่องตรงไหนก็ขออภัย....ล่วงหน้านะครับ....
--------------------------------------------------

คำนำสำนักพิมพ์ เมดอินไทยแลนด์ ก็มันเป็นอย่างนั้น วันนี้ วันนั้น วันไหน ปล่อยเขา ดอกไม้พลาสติก คำนำสำนักพิมพ์

มีผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่า “ไข่” คืออาหารมหัศจรรย์ ที่พระเจ้าประทานมาให้มนุษย์  คำกล่าวนี้ไม่ได้เหนือความจริงไปแต่ประการใด ด้วยเพราะเหตุผลว่า ไข่ มีธาตุอาหารครบ อาจเรียกได้ว่าครบทุกอย่างที่ใช้ในการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตก็ว่าได้ จะสังเกตได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เกิดออกมาจากไข่ เติบโตเป็นตัวอ่อนแล้วฟักออกมาเป็นตัวได้เองโดยไม่ได้รับสารอาหารเพิ่มเติมจากแม่แต่อย่างใด ดังนั้น จึงแสดงว่าในไข่มีพร้อมทั้ง โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุต่าง ๆ  รวมทั้งวิตามินและแคลเซี่ยม ที่สิ่งมีชีวิตต้องใช้ในการเสริมสร้างอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายให้ครบสมบูรณ์เพื่อพร้อมที่จะออกมามีชีวิตอยู่บนโลกภายนอกได้ ต่างจากสัตว์ที่ออกลูกเป็นตัวหรือเลี้ยงลูกด้วยนม จะต้องอาศัยสารอาหารจากแม่ในครรภ์จนครบกำหนดคลอดก่อน ถึงจะมีชีวิตออกมาดูโลกภายนอกได้ จากนั้นยังจะต้องอาศัยน้ำนมจากแม่ในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตต่อไปอีกระยะหนึ่งด้วย ด้วยเหตุนี้ชนชาวจีนตั้งแต่โบราณกาลเป็นต้นมา ได้คิดค้นและนำ “ไข่” มาเป็นส่วนประกอบในการรักษาโรคและใช้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ มายาวนานหลายร้อยปีมาแล้ว อนึ่ง เมื่อมีการนำไข่มาผสมกับน้ำส้มสายชูในรูปแบบของการหมักดองหรือต้มนึ่ง และผสมกับยาสมุนไพรรวมเข้าไปด้วย ก็ยิ่งทำให้การรักษาโรคต่าง ๆ ได้ผลดียิ่งขึ้น
ในโอกาสนี้ ทางสำนักพิมพ์ฯ จึงมีความยินดีและรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมถ่ายทอดผลงานการรวบรวมสูตรตัวยาและวิธีรักษาโรคต่าง ๆ ที่มีส่วนประกอบของ ไข่ และน้ำส้มสายชูเอาไว้มากกว่า 100 โรค ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยโดยอาจารย์ ชาตรี แซ่บ้าง ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจีนมาอย่างยาวนานเกือบครึ่งค่อนชีวิต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจารย์เป็นผู้ที่ดูแลสุขภาพของตนเองอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับก่อนหน้านั้น อาจารย์ได้ป่วยเป็นโรคที่ยากต่อการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งได้ตระเวนรักษามาเกือบทุกโรงพยาบาลแล้ว แต่ก็ไม่หาย ดังนั้น อาจารย์จึงได้มีการทดลองรักษาและบำบัดร่างกายด้วยยาแผนโบราณควบคู่ไปด้วย “ไข่และน้ำส้มสายชูรักษาได้ 100 โรค” จึงได้ถูกนำมาทดลองรักษาในครั้งนั้นด้วย เป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่ออาจารย์มีการรับประทาน ไข่ น้ำส้มสายชูพร้อมน้ำยาที่ได้ปรุงอย่างต่อเนื่องแล้ว อาการของโรคดังกล่าวเริ่มทุเลาลงเรื่อย ๆ และแล้วก็หายเป็นปกติในที่สุด เมื่อได้กลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทยและมีโอกาสอาจารย์จึงได้นำมาถ่ายทอดเป็นภาษาไทย ทั้งนี้เพื่อยังประโยชน์สำหรับท่านที่สนใจ และต้องการนำไปทดลองทำที่บ้าน ซึ่งสามารถทำได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยาก ประหยัด ราคาถูก และที่สำคัญ คือท่านจะได้รับผลเป็นที่น่าพอใจเหมือนดังเช่นอาจารย์ได้ทดลองมาแล้วอย่างแน่นอน

ด้วยความปรารถนาดี
สำนักพิมพ์ ปัญญาชน



          .
คำนำ
ชนชาติจีนมีประวัติยาวนานมากว่า 5,000 ปี และสมุนไพรจีนก็มีบทบาทสำคัญยิ่งสำหรับชีวิตและสุขภาพของชาวจีน น้ำส้มสายชูและไข่ไก่ นอกจากจะนำมาประกอบอาหารที่ขาดไม่ได้แล้ว คนจีนยังนำมาใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เพราะว่าหาง่ายและราคาถูก ปลอดภัยและที่สำคัญได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี
“น้ำส้มสายชูและไข่ไก่รักษาโรค” เล่มนี้ เรียบเรียงมาจากตำรายารักษาโรคของชาวจีนที่มีมาอย่างยาวนานและผ่านการใช้รักษาผู้ป่วยมาอย่างเห็นผล พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนมาแล้ว ในหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอสูตรเกี่ยวกับการรักษาโรคโดยใช้น้ำส้มสายชูและไข่ไก่ไว้มากมายหลายสูตร ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจที่จะนำไปทดลองปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่ประสบกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มากมาย ทั้งโรคที่เกิดจากการรับประทานอาหารผิดสุขลักษณะ โรคเกิดจากสภาพแวดล้อมที่วิกฤต แม้กระทั่งโรคที่เกิดจากความเครียดต่าง ๆ อีกด้วย การรักษาด้วยสูตรไข่และน้ำส้มสายชูนี้ นอกจากจะทำได้โดยง่าย ค่าใช้จ่ายถูกประหยัดแล้ว ยังปลอดภัยต่อผู้ที่รับประทานอีกด้วย
สำหรับเล่มนี้เป็นเล่มที่ 1 ได้รวบรวมสูตรที่ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับ ระบบทางเดินหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต โรคทางพันธุกรรม โรคติดต่อต่าง ๆ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เป็นต้น ซึ่งหากเล่มนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ที่สนใจแล้ว ทางผู้เรียบเรียงจะจัดทำเล่มสองอีกต่อไป ซึ่งในเล่มสองนั้น จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรคด้านศัลยกรรม โรคกระดูก โรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับสุภาพสตรี โรคเด็ก และโรค ปาก หู คอ จมูก เป็นต้น
การจัดทำหนังสือเล่มนี้ เพื่อประโยชน์สำหรับท่านที่สนใจ สามารถนำไปทดลองปฏิบัติได้ด้วยตนเอง หากท่านใดที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนี้ ทางผู้เรียบเรียงและทางสำนักพิมพ์ฯ ยินดีรับคำแนะนำเพิ่มเติม และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

                                                           ด้วยความปรารถนาดี
                                                                ชาตรี  แซ่บ้าง



น้ำส้มสายชู

ส่วนประกอบของน้ำส้มสายชู
น้ำส้มสายชูที่เราใช้บริโภค มีส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับร่างกายมากมาย เช่น กรดอะมิโน ซึ่งเป็นสารพื้นฐานของโปรตีนก็มีมากชนิด รวมทั้ง 8 ชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ต้องมาจากอาหาร ยังมีสารประเภทน้ำตาล เช่น น้ำตาลองุ่น น้ำตาลผลไม้ น้ำตาลจากหน่ออ่อนของข้าวสาลี ซึ่งเป็นพลังงานที่สำคัญของร่างกาย และยังมีเกลืออนินทรีย์อีกหลายชนิด
สารเหล่านี้สำคัญมากในการเติบโตของร่างกาย และชะลอความแก่ชรา และขาดมิได้สำหรับระบบการเปลี่ยนถ่ายเซลล์ของร่างกาย

คุณประโยชน์ของน้ำส้มสายชู
เป็นเครื่องปรุงอาหารที่ขาดมิได้สำหรับอาหารแต่ละมื้อ
เติมลงไปในกับข้าว สามารถขจัดรสคาวและความมันที่มากเกินไป สามารถทำให้กับข้าวมีสีสวย รสหอมและอร่อยขึ้น และยังสามารถรักษาสรรพคุณ ในการบำรุงร่างกายไม่ให้เสื่อมลง
ยังสามารถละลายสลายแคลเซี่ยมในอาหาร เพื่อให้ร่างกายดูดรับได้ง่าย
ใช้น้ำส้มสายชูแช่อาหาร สามารถเพิ่มรสชาติของอาหาร และยังป้องกันการบูดเสียของอาหารได้ด้วย
ใช้น้ำส้มสายชูคนกับผักดิบที่สะอาด ทำให้มีรสชาติอร่อยน่ารับประทาน
ทางด้านยา
น้ำส้มสายชูก็มีประโยชน์มาก สามารถสลายลิ่มเลือดเป็นก้อนแข็งในร่างกาย แก้พิษ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยเจริญอาหาร สลายไอน้ำในร่างกาย รักษาความเจ็บปวดจากเลือดลมในท้องและหัวใจ รักษาการเมาจากเลือดหลังคลอด ละลายเสมหะ รักษาโรคดีซ่าน ปากลิ้นเป็นแผล เลือดก้อนจากอาการบาดเจ็บ ขจัดหนอนในธัญพืช ปลา เนื้อ ผัก ฯลฯ คนจีนเอามารักษาคางอักเสบ หรือคางคูม เกลื้อน พยาธิในท่อตับ แก้แมลงพิษกัด รักษาอาการปวดเอว ฯลฯ
ใช้น้ำส้มสายชูแช่เมล็ดถั่วลิสง สามารถรักษาความดันโลหิตสูงและลดคอเลสเตอรอลได้
น้ำส้มสายชู ยังสามารถฆ่าเชื้อโรค และป้องกันโรคติดต่อในลำไส้
ใช้น้ำส้มสายชูแช่ดองยาจีน สามารถเพิ่มสรรพคุณของยา และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคของยาได้
นอกจากนั้น น้ำส้มสายชู ยังรักษาอาการเมาค้างได้ รักษาอาการท้องผูกได้ รักษาโรคเบาหวานได้ ดื่มน้ำส้มสายชูบ่อย ๆ ทำให้พลังงานในร่างกายดีขึ้น ร่างกายแข็งแรง มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ

ทางด้านเสริมสวย
น้ำส้มสายชู ยังมีบทบาทในการกระตุ้นให้ผิวหนังอ่อนนุ่มให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มความไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนัง และยังสามารถฆ่าเชื้อโรคบนผิวหนังได้ ทำให้ผิวหนังเกลี้ยงนุ่ม
ปัจจุบันน้ำส้มสายชู ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น จากการใช้ปรุงอาหารอย่างเดียว ค่อย ๆ กลายเป็นอาหารที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง และส่วนประกอบของยาในการรักษาโรค เป็นต้น

สรรพคุณในการรักษาโรค และการใช้
สรรพคุณ และการรักษาโรคที่สำคัญคือ
สลายก้อนเลือด ระงับเลือด แก้พิษ ฆ่าหนอน ความสามารถในการรักษาโรค ที่สำคัญคือ รักษาการเมาเลือดหลังคลอด โรคดีซ่าน เหงื่อเหลือง อาเจียนเป็นเลือด เลือดออกจากจมูก อุจจาระเป็นเลือด ปวดท้องจากมีพยาธิ อาการคันของอวัยวะเพศภายนอก เป็นฝีแผลบวม พิษจากปลาสด เนื้อ ผัก ฯลฯ
วิธีใช้ และปริมาณในการใช้
รับประทาน โดยใส่ลงในยาน้ำ หรือคนผสมกับยา เป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ใช้ผสมกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วยเหล้าเล็ก ๆ
ใช้ภายนอก เผาให้ร้อน อบอาการเหม็น ใช้บ้วนปาก ผสมกับยาทาภายนอก
ข้อควรระวังในการใช้น้ำส้มสายชู
1. ผู้เป็นโรคกระเพาะ และโรคเกี่ยวกับเส้นเอ็น โรคอาการหนาวจากภายนอก เริ่มแรก ไม่เหมาะในการรับประทานจะต้องระวังในการรับประทาน เพราะว่า ความเปรี้ยวเป็นผลเสียต่อเอ็น ข้อ กระเพาะ ม้าม
2. ถึงแม้ว่าน้ำส้มสายชูจะมีสรรพคุณมากมาย แต่ในการใช้รับประทานประจำวัน ไม่ควรใช้เกินปริมาณ โดยทั่วไปผู้ใหญ่วันหนึ่ง 20-40 มิลลิลิตร อย่างมากสุด ไม่เกิน 100 มิลลิลิตร ผู้สูงอายุ คนที่ร่างกายอ่อนแอ สตรี เด็ก คนป่วย ต้องลดปริมาณในการรับประทาน ตามสภาพร่างกายของตนเอง บางคนรับประทานน้ำส้มสายชูปริมาณมาก เพื่อรักษาโรคนั้นไม่ถูกต้อง ดังนั้น การรับประทานน้ำส้มสายชูเพื่อรักษาโรคควรดำเนินไปอย่างวิทยาศาสตร์และเหมาะสม อย่ารีบร้อนเพื่อให้ได้ผลเร็ว เริ่มแรกควรดื่มปริมาณน้อย เพื่อทดลอง หลังจากรับประทานน้ำส้มสายชูแล้วต้องบ้วนปาก เพื่อไม่ให้มันไปทำลายฟัน
3. ใช้น้ำส้มสายชูปรุงอาหาร ต้องใช้กระทะเหล็ก อย่าใช้กระทะอลูมิเนียม และกระทะทองเหลืองทองแดง เพราะว่าการใช้กระทะเหล็กปรุงอาหารธาตุเหล็กก็จะละลายลงไปในน้ำ หากใส่น้ำส้มสายชูเป็นเครื่องปรุง ปริมาณธาตุเหล็กที่ละลายออกมาก็จะเพิ่มมากขึ้น มีประโยชน์ในการป้องกันและรักษาอาการโลหิตจาง และการขาดธาตุเหล็กได้ แต่หากใช้กระทะอะลูมิเนียมปรุงอาหาร ใส่น้ำส้มสายชูไม่ได้เพราะน้ำส้มสายชูจะทำให้อะลูมิเนียมละลายออกมามากกว่าเดิม ร่างกายเรา หากสะสมอะลูมิเนียมมากเกินไป จะทำลายความเคลื่อนไหวของระบบขับถ่ายบางอย่างลง ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารไม่ปกติ อีกทั้งยังทำให้องค์ประกอบของสมองได้รับความเสียหาย กระทบกับการพัฒนาด้านสติปัญญา โดยเฉพาะระบบประสาท อาจได้รับความเสียหายร้ายแรงได้
น้ำส้มสายชูยังใส่ในกระทะทองเหลืองทองแดงปรุงอาหารไม่ได้ เนื่องจากน้ำส้มสายชูสามารถละลายสารประกอบของทองเหลืองทองแดงได้ หากรับประทานเข้าไปอาจเกิดพิษต่อร่างกายได้
4. ฤดูที่อากาศร้อนมาก น้ำส้มสายชูอาจจะเกิดเชื้อราหรืออาจมีหนอนเกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากนำมาใช้ควรจะต้มด้วยอุณหภูมิประมาณ 72 องศาเซลเซียส ประมาณ 5-10 นาที แล้วกรองเอากากออก ก็สามารถนำมาใช้ได้ตามปกติ

วิธีการเก็บรักษาไม่ให้น้ำส้มสายชูเสีย
1. ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย
2. หยดน้ำมันงาลงบนผิวของน้ำส้มสายชูเพื่อเคลือบผิวไว้
3. ใส่กระเทียม 2-3 กลีบ ลงไปในขวดน้ำส้มสายชู
           
ไข่ไก่
ไข่ไก่ ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่มีสรรพคุณมากมายทั้งทางอาหารและทางการรักษาโรค ซึ่งถือได้ว่าเป็นความแปลกมหัศจรรย์อยู่พอสมควร ความมหัศจรรย์ของไข่ เนื่องจากว่าไข่กำเนิดขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิต และเป็นจุดกำเนิดของชีวิตใหม่ มีความสัมพันธ์กับจิตอารมณ์และเลือดเนื้อ แฝงไว้ด้วยพลังแห่งชีวิต ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อผู้ที่บริโภคเป็นอย่างมาก เหนือกว่าการรับประทานพืชผักซึ่งไม่มีด้านพลังจิตและอารมณ์

ส่วนประกอบของไข่
ไข่ไก่มีส่วนประกอบด้านโภชนาการที่สมบูรณ์ มีโปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ อนินทรีย์ รวมทั้งสารที่มีส่วนของการหมักย่อยสลาย สารอาหารเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนนาน
โปรตีนของไข่ไก่ เป็นโปรตีนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับโปรตีนจากอาหารชนิดอื่น ๆ ดังนั้น โปรตีนจากไข่ไก่จึงถูกกำหนดให้เป็นค่ามาตรฐานของโปรตีนจากธาตุอาหารชนิดอื่น ๆ อีกด้วย
อาหารที่มีส่วนประกอบของโปรตีนต่ำเช่น ธัญพืช เนื้อปลา ฯลฯ หากรับประทานร่วมกับไข่ไก่ จะเป็นการเสริมซึ่งกันและกันได้ดี ยกระดับการใช้โปรตีนของร่างกายให้สูงขึ้น เช่น การรับประทานอาหารที่ขาดกรดอะมิโน หรืออาหารที่มีโปรตีน คุณภาพต่ำ แต่หากรับประทานร่วมกับไข่ไก่ ก็สามารถส่งเสริมกัน ทำให้กลายเป็นโปรตีนมีคุณภาพได้ ไข่สามารถตอบสนองต่อความต้องการพลังในการเสริมสร้างเซลล์ในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ไข่ไก่และอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในปริมาณที่เท่ากัน แต่คุณค่าในการเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอของร่างกายแตกต่างกันมาก ซึ่งไข่สามารถเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอของทางร่างกายได้ดีกว่าเนื้อสัตว์หลายเท่าตัว อีกทั้งไข่ยังมีราคาถูก ดังนั้นควรส่งเสริมให้มีการรับประทานไข่เพิ่มมากยิ่งขึ้น
ไข่มีปริมาณไขมันประมาณ 10 % ส่วนใหญ่อยู่ในไข่แดง ส่วนไข่ขาวเกือบจะไม่มีไขมันอยู่เลย ส่วนประกอบของไขมันในไข่ไก่ คือฟอสฟอรัส และคอเลสเตอรอล ฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบหลักของไข่แดง มีบทบาทต่อการฟักไข่เป็นตัว สิ่งที่ฟอสฟอรัสถูกแยกออกเมื่อรับประทานเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะมีบทบาทหรือมีคุณสมบัติในการป้องกันและเสริมสร้าง สมรรถนะของร่างกาย ทำให้ชะลอความแก่ชราลงได้
คอเลสเตอรอล เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งร่างกายไม่สามารถที่จะผลิตออกมาใช้ได้อย่างเพียงพอ ดังนั้น จึงอาศัยการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของคอเลสเตอรอล เพิ่มเติม ถึง 1 ใน 3 ส่วน

บทบาทของคอเลสเตอรอล มีดังต่อไปนี้
คอเลสเตอรอล มีบทบาทในการเสริมสร้างฮอร์โมนเพศชาย วิตามินและน้ำดี ฮอร์โมนเพศชายและวิตามินดี มีบทบาทสำคัญในด้านการเจริญเติบโตของระบบสืบพันธุ์  น้ำดีมีบทบาทในการย่อยสลายไขมัน เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยและดูดซึมไขมันของลำไส้เล็ก นอกจากนั้น คอเลสเตอรอลยังมีบทบาทในการป้องกันไม่ให้เม็ดโลหิตแดงถูกทำลายได้โดยง่าย และทำให้ผนังหลอดเลือดมีความแข็งแรงไม่แตกได้ง่าย แต่หากคอเลสเตอรอลเกาะสะสมที่ผนังหลอดเลือดมากจนเกินไป จะทำให้เส้นโลหิตแดงเกิดความแข็ง หากหลอดเลือดไม่แข็งแรงพอ ก็จะทำให้หลอดเลือดแตกได้เหมือนกัน เป็นโรคเลือดออกในสมอง ซึ่งจะส่งผลต่อความพิการของร่างกายได้ สุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ ไม่มีดีและเลวเสมอไป หากมีมากไปก็จะเป็นภัย” น้ำสามารถให้เรือเดินทางได้ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถให้เรือล่มได้เหมือนกัน” ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเน้นถึงความเหมาะสมด้วย
ในชีวิตประจำวัน หากไม่รับสารคอเลสเตอรอลมากจนเกินไป ไม่เพียงไม่น่ากลัวแล้ว ยังมีความจำเป็นอีกด้วย เพียงแต่ต้องระมัดระวัง ในการรับสารอาหารแต่ละอย่างให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างร่างกายและยังสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้
ในไข่ไก่ มีวิตามินสะสมอยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะวิตามินเอ และ บี 2 อยู่ในไข่แดง ส่วนในไข่ขาวก็มีวิตามินบี 2 อยู่เล็กน้อย วิตามินเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นในการฟักไข่ให้เป็นตัวอ่อน และยังเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในระบบของการเกิดขึ้นและย่อยสลายของเซลล์ในร่างกาย ดังนั้น มนุษย์จึงมีความต้องการวิตามินในปริมาณที่เหมาะสม หากวันหนึ่งเรารับประทานไข่ 2 ฟอง ก็สามารถรับวิตามินเอได้ 50% ต่อวัน และวิตามิน บี 2 ตามสัดส่วน
เหล็กในเกลืออนินทรีย์ ทั้งหมดสะสมอยู่ในไข่แดง ธาตุเหล็กในร่างกายมีบทบาทในการสร้างเซลล์เม็ดเลือด และเป็นตัวนำพาออกซิเจนเข้าไปหมุนเวียนในระบบโลหิต ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างเสริมสุขภาพ ร่างกายของมนุษย์ หากร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้
ในไข่ไก่ยังมีสารฟอสฟอรัส ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นกรดฟอสเฟตที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่ขาดไม่ได้ในการให้พลังงานและคงไว้ซึ่งความสมดุลภายในร่างกาย นอกจากนั้นยังมีแคลเซี่ยม โปแตสเซียม สารโซเดียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างเซลล์ในร่างกาย
ในไข่ขาวของไข่ไก่ยังมีกรดชนิดหนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการย่อยสลายแบคทีเรีย เปลือกของไข่ไก่มีรูพรุนมากมาย สามารถให้อากาศผ่านเข้าออกได้ ถึงแม้เชื้อแบคทีเรียจะสามารถผ่านเข้าไปในไข่ไก่ตามรูพรุนนี้ได้ แต่เมื่อเจอกรดที่สามารถย่อยสลายแบคทีเรียได้ จึงทำให้ไข่ไม่ถูกทำลายและสามารถอยู่ได้นาน ไข่ไก่ที่ต้มสุกทำให้บูดเสียง่ายเนื่องจากกรดในไข่ถูกทำลายลงด้วยความร้อน
นอกจากนั้น กรดดังกล่าวยังสามารถระงับโรคอันเกิดจากเพศสัมพันธ์ที่มีขนาดเล็กได้ รวมทั้งยังสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ  ได้อีกด้วย

วิธีคัดเลือกและเก็บรักษาความสดของไข่ไก่
วิธีคัดเลือกไข่ไก่
ไข่ไก่เมื่อใช้เป็นสูตรยารักษาโรค ควรเลือกไข่สด ไข่แดงที่แตกกระจายแล้วไม่ควรใช้ ไข่ที่บูดเสียหรือเปลี่ยนสภาพห้ามนำมาใช้เด็ดขาด
วิธีเลือกซื้อไข่สดจากตลาด โดยทั่วไปจะดูจากภายนอกหรือใช้แสงตรวจ ไข่สดข้างบนเปลือกจะมีละอองคล้ายหมอก ไข่จะสมบูรณ์ ไม่มีรอยแตกหรือรอยจุดจากเชื้อรา มีเงาเกลี้ยง หากใช้มือจับแล้วส่องแสงไฟ หรือทางพระอาทิตย์ ไข่ทั้งฟองจะมีสีแดงอ่อน มองไม่เห็นไข่แดง หรือมองเห็นเป็นเงาดำเล็กน้อย หรือใช้วิธีนำไข่ใส่ลงในน้ำเกลือ ไข่สดจะจมน้ำ ส่วนไข่ไม่สดจะลอยน้ำ
การรักษาไข่สด
1. ฝังไข่ไว้ในเกลือ จะสามารถเก็บได้นานไม่เสียง่าย
2. เอาด้านแหลมของไข่ลงด้านล่าง แล้วเอาไข่ฝังในขี้เถ้าหญ้า
3. ใช้วาสลีนหรือพาราฟินทาบนเปลือกไข่ สามารถป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าไปในไข่ได้
4. เอาไข่สดใส่ลงแช่ในน้ำด่างสักครู่ นำเอาขึ้นมาผึ่งไว้ สามารถป้องกันแมลงแทะกัด หรือแบคทีเรียเข้าไปได้ สามารถเก็บได้ 2-3 เดือน ไม่เสีย
5. เอาดินสอพอง 50 กรัม และน้ำสะอาด 1,000 มิลลิเมตร ผสมน้ำให้เข้ากันแล้วเทใส่ลงในไห แล้วใส่ไข่สดลงไป สามารถเก็บรักษาไข่สดได้ประมาณครึ่งปีไม่เสีย
6. เอาทรายเหลืองที่ร่อนแล้วตากให้แห้งสนิท เอาไข่ฝังไว้ในทรายหนึ่งเดือนพลิกไข่ 1 ครั้ง สามารถเก็บรักษาไข่ไก่ได้ 3-4 เดือน ไม่เสีย
7. เอาไข่สดใส่ในช่องแช่เย็นของตู้เย็น สามารถเก็บรักษาความสดได้ 2 เดือน
8. เอาน้ำมันที่ทำอาหารทาลงบนไข่ สามารถป้องกันแบคทีเรียเข้าไป ในฤดูร้อนสามารถเก็บรักษาไข่ไก่ได้ประมาณ 1 เดือน
9. เอาไข่ลวกลงไปในน้ำร้อน 90-100 องศาเซลเซียส 5-7 วินาที แล้วเอาขึ้นตากแห้ง เอาไว้ในที่แห้งลมโกรก สามารถเก็บรักษาไข่ได้ 2 เดือน

สูตรน้ำส้มสายชูกับไข่ไก่
สูตรน้ำส้มสายชูกับไข่ไก่ ต้องเลือกไข่ที่สุด แช่ลงในน้ำส้มสายชู ไข่ 1 ฟอง ต่อน้ำส้มสายชู 100-180 มิลลิลตร แช่เป็นเวลานาน 48 ชั่วโมง แล้วทุบไข่ให้แตก แช่ไว้อีก 24 ชั่วโมง แล้วนำเอามาดื่ม ซึ่งเป็นวิธีผลิตยาอาหารบำรุงที่วิเศษอีกอย่างหนึ่ง
ในการผลิตสูตรนี้ น้ำส้มสายชูต้องเลือกคุณภาพดี ประมาณกรดน้ำส้ม 9 % ไม่มีสี หากไม่มีปริมาณกรดระบุไว้ ก็ให้เลือกเอาที่คุณภาพเชื่อถือได้ แต่เวลาแช่ไข่อาจจะนานมากขึ้น ทั้งนี้ให้สังเกตว่าเปลือกไข่อ่อนตัวหรือนุ่มลง ถือว่าใช้ได้แล้ว
สูตรน้ำส้มสายชูกับไข่ ถือว่าเป็นอาหารบำรุงร่างกายอย่างหนึ่ง ไม่ขัดกันกับตัวยาชนิดอื่น เวลาที่รับประทานยารักษาโรคประจำอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องระงับการใช้แต่อย่างใด ในระหว่างการดื่มนั้น หากไม่มีผลข้างเคียง สามารถดื่มติดต่อกันนาน ๆ ได้ ไม่มีผลเสียหายใด ๆ ดื่มได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
น้ำส้มสายชูและไข่ไก่ เมื่อได้นำมาปฏิบัติตามสูตรแล้ว ไม่เพียงแต่มีผลต่อการบำรุงร่างกายและการรักษาโรคด้วยน้ำส้มสายชูและไข่ไก่ได้ดีเท่านั้น ไข่เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำส้มสายชูแล้ว โมเลกุลจะแตกหักเป็นโมเลกุลที่เล็กลง ฟอสฟาไทด์และแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ จะแตกตัวออก ทำให้ลำไส้ดูดซึมได้ง่ายยิ่งขึ้น
ไข่ขาวเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง นอกจากจะมีกรดที่สลายแบคทีเรียที่สมบูรณ์แล้วยังมีสารต่อต้านมะเร็งอีกด้วย เมื่อนำไข่ขาวลงแช่ในน้ำส้มสายชูแล้ว โมเลกุลของไข่ขาวจะแตกแยก ขนาดเล็กลง สารกรดสลายแบคทีเรียและสารต่อต้านมะเร็ง ก็จะแพร่กระจายออกมา ซึ่งมีประโยชน์ในการรักษาโรค
เปลือกไข่เมื่อแช่น้ำส้มสายชูแล้วจะอ่อนนิ่มแยกละลายกลายเป็นแคลเซียม กรดน้ำส้มสายชูละลายในน้ำได้ง่าย แคลเซียมสามารถให้ลำไส้เล็กดูดซึมเข้าไปได้ง่าย แคลเซียมมีบทบาททำให้กระดูกเจริญเติบโต และยังสามารถป้องกันและรักษาโรคความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย

สรุปแล้วน้ำส้มสายชูกับไข่ไก่ สามารถปรับสมดุลในร่างกาย แก้ไขและยกระดับระบบการเกิดและย่อยสลายของเซลล์ในร่างกายให้ดีขึ้น เพิ่มความแข็งแรงของร่างกายเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายให้ดียิ่งขึ้น
โรคที่รักษาแล้วเห็นผลชัดเจนได้แก่โรค ความดันโลหิตสูง โรคที่เกิดจากหลอดเลือดอุดตันในสมอง โรคหลอดลมอักเสบ โรคปวดเมื่อย นอนไม่หลับ โรคท้องผูก กระเพาะอาหารหย่อนคล้อย โรคไหล่อักเสบ โรคเบาหวาน ฯลฯ
โรคที่ตอบสนองต่อการรักษา ได้แก่ โรคลำไส้อักเสบ โรคเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจไม่เพียงพอ โรคปวดประสาท โรคประสาทอ่อน โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง โรคอาการเหงื่อออกมาก ไตอักเสบผิวหนังอักเสบ โรคกระดูกงอก ปากมีกลิ่นเหม็น ฯลฯ จนกระทั่งโรคที่เป็นเรื้อรังรักษาไม่หาย เมื่อได้ดื่มน้ำส้มสายชูผสมไข่ไก่แล้ว ก็ทำให้อาการดีขึ้น จนถึงขั้นหายขาดในเวลาอีกไม่นาน

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เอนไซม์ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อการพอเพียง

คำนำ
            คำว่า “เอนไซม์” เป็นการกำหนดคำหลังจากนักวิทยาศาสตร์พบว่าเป็นโครงสร้างของโปรตีนที่มีสารไวตามิน แร่ธาตุ ออกซิเจน รวมอยู่ตลอด ถึงแม้จะทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว สารดังกล่าวยังคงแตกตัวต่อเนื่องแบบไม่รู้จบ และคงสภาวะปฏิกริยาตามความหนาแน่นของอินทรียวัตถุในแต่ละสิ่งแวดล้อม
            การสร้างสารดังกล่าวเกิดมาเนิ่นนาน ตั้งแต่สมัยพุทธกาลพบว่า น้ำดองน้ำมูตรเน่าบริสุทธิ์ (หมักนานเกินกว่า 1 ปี) ก็จะยังคุณสมบัติของเอนไซม์มากกว่า 8 ชนิดอยู่ และมีความสามารถทำงานอย่างต่อเนื่อง
            ข้าพเจ้าขออนุโมทนาพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ในพระพุทธองค์ ข้าพเจ้าขอน้อมจิตเผยแพร่แด่สาธุชนทั้งหลาย

เนื้อหา
            สำหรับการทำน้ำหมักชีวภาพ หรือ เอนไซม์เพื่อการบริโภคนั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล น้ำสมอดองถือเป็น “น้ำอมตะ และยาอายุวัฒนะ แห่งการรักษาชีวิต”
            ซึ่งหากจะแปลความจากการวิเคราะห์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ น้ำหมักชีวภาพ หรือ เอนไซม์ ก็คือ น้ำมูตรเน่าเถ้าดองที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก สารอินทรีย์ที่ได้จากการหมักนั้นได้ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์แก่มวลมนุษยชาติมานานนับพันปี
            เกือบยี่สิบกว่าปีแห่งการค้นคว้า คณะสงฆ์เครือข่ายภาคอีสาน และชมรมบ้านสุขภาพ ได้ร่วมศึกษาและค้นคว้าพืชผักผลไม้ สมุนไพรต่าง ๆ นานาชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทย
            เราพบว่าการนำผักผลไม้มาหมักตาม ทฤษฎีการแตกตัวของอนุมูลสารอาหาร เพื่อให้เกิดการซึมของน้ำหมัก ซึ่งจะได้สารอาหารซึ่งอยู่ในรูปของสารละลาย ครบ 5 หมู่ ตามความต้องการของร่างกายในสภาวะฟื้นฟูและดูแลจากขบวนการหมัก
            “สารอาหารที่ออกมานั้นอยู่ในรูปของ กรดอะมิโนจากโปรตีน พลังงานจากแป้ง ไวตามินและแร่ธาตุจากผักผลไม้”
            ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็น สารอาหารที่ร่างกายต้องการในระดับต่าง ๆ กัน ในกรณี “สมุนไพร” ก็เช่นกัน นอกจากจะได้สารอาหารต่าง ๆ แล้วยังทำให้สมุนไพรออกฤทธิ์ในการรักษามากขึ้น แต่ไม่มีผลข้างเคียงจากสเตียรอยด์จากน้ำยาง แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่หมักนานมากกว่า 5 ปี จึงจะมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งกรดอะมิโน ไวตามิน เกลือแร่ และออกซิเจนจะออกฤทธิ์อยู่ในรูปสารละลาย และไม่มีผลข้างเคียง
            สารละลายที่ได้รับจากขบวนการหมักดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นตัวลดการเผาผลาญเกินในร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิด เซลล์ผิดปกติต่าง ๆ เช่น เซลล์เนื้องอก เซลล์มะเร็ง เซลล์ที่เกิดการรวมตัวแบบแยกส่วน (MCTD : MIXED CONNECTIVE TISSUE DESEASE) หรือ อาการภูมิแพ้ หรือแพ้ภูมิตนเองให้ลดลง และปรับฮอร์โมนให้ปรกติ



การผลิตน้ำหมักชีวภาพเป็นเทคโนโลยีที่ผมผสานระหว่าง ภูมิปัญญาพื้นบ้านและความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งการที่ จะได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณประโยชน์อย่างไรนั้น จำเป็นที่จะต้องมองถึงองค์ประกอบสำคัญในเรื่องวัตถุดิบ รวมไปถึงสัดส่วน และระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตเอนไซม์
สาระสำคัญที่เกิดขึ้นนี้ หากปฏิบัติถูกวิธีก็จะให้สารที่มีคุณประโยชน์ต่อการบริโภค กล่าวคือ เมื่อกินเข้าไปแล้วเป็นผลดีต่อร่างกาย เช่น จุลินทรีย์แลคติก กรดอะมิโน กรดแลคติก และสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
ทำไมถึงเรียก “เอนไซม์”
เอนไซม์ คือ โปรตีนที่คัดหลั่งมาจากเซลล์ที่มีฤทธิ์กระตุ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสารอื่น ๆ โดยตัวมันเองไม่เปลี่ยนแปลง
ชื่อ เอนไซม์ ถูกเสนอโดยนักสรีรวิทยาชาวเยอรมันในปี 1867 มาจากกลุ่มคำศัพท์ “Enzyme” เป็นคำเรียกสารที่มีโปรตีน และไวตามินอยู่ร่วมกัน และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งการย่อย
กระนั้นเอนไซม์ยังจำแนกได้อีก 700 กว่าชนิด


การหมักน้ำเอนไซม์ มีกระบวนการทางเคมีทางทฤษฎีของการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลจากผลไม้เป็นกรดน้ำส้ม
สูตรทางเคมีคือ CH3COOH  เมื่อสารละลายน้ำแล้ว น้ำส้มสายชูก็จะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของโอโซน (O3) ซึ่งไวต่อการทำลายเซลล์ตายและให้กำลังกับเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่
CH3COH + O + O2     เปลี่ยนเป็น          O3 + 2H2O + 2C (Ash)
กลุ่มทางเคมีในรูปของเอนไซม์ ทีมีชื่อว่า “อะเซททิล โคเอ” (Acetyle Co-A) ทำหน้าที่ควบคุมเอนไซม์ที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ทำให้สารอินทรีย์ถูกย่อยเปลี่ยนรูปเป็น กรดน้ำส้มสายชู และเพิ่มโอโซนธรรมชาติในชั้นบรรยากาศมากขึ้น
ดังนั้น เอนไซม์ คือ สารที่เกิดจากขบวนการแตกตัวสารอาหารด้วยขบวนการ IONIC DISCHARGE
ซึ่งจะให้ สารอาหารที่อยู่ในรูปของ อิออนบวกและลบ ทำให้เกิดการสลายอนุมูลอิสระในร่างกาย ให้เกิดเป็นอนุมูลธาตุ ทำให้เซลล์ลดการตายลงและมีชีวิตต่อไปได้
เมื่อร่างกายได้รับเอนไซม์จากขบวนการดังกล่าวจะช่วยทำให้เซลล์และขบวนการทางเคมีต่าง ๆ ในร่างกายเกิดสภาวะสมดุล จนเกิดการซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญก็คือ กรดอะมิโน สารอาหารในกลุ่ม โปรตีน ไวตามิน และเกลือแร่ คือ ไวตามินบีรวม บี 1  บี 2  บี 12  แร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และชะล้างส่วนที่ตายแล้วให้ออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของเอนไซม์จากการวิจัยดังนี้
1. เอนไซม์ช่วยเปลี่ยนอาหารคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และเส้นใยอาหารให้เป็นกรดอินทรีย์ เช่นกรดแลคติก กรดอะซิติก และกรด บิวทีริก ซึ่งมีความเป็นกรดอ่อน ๆ ทำให้เอนไซม์มีรสเปรี้ยว และช่วยทำให้การขับถ่ายเป็นไปได้อย่างลื่นสะดวก กรดอินทรีย์บิวทีริกเสริมการสร้างดีเอ็นเอ และเพิ่มจำนวนเซลล์บุผิวในลำไส้ใหญ่ให้มีมากแข็งแรงมีอายุยืนกว่าเดิม ทำหน้าที่ต้านเชื้อโรคได้ดี ต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ดี
2. เอนไซม์สร้างไวตามิน B12  ไวตามิน K และไวตามิน B หลายชนิด  บำรุงเม็ดเลือด  เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท และเซลล์ทั่วไป
3. ช่วยสร้างเอนไซม์แลคเตส เพื่อย่อยน้ำตาลในนม ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น
4. สร้างสารต่อต้านเชื้อโรค สารอินทรีย์นี้เรียกว่า แบคทีริโอซิน (bacteriocins) มีหลายชนิด ได้แก่ acidolin, acidophilin, bulgarican, lactocillin และ niacin ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายเช่น เชื้อที่ทำให้เจ็บคอ เชื้อที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (Helicobacter pylori) เชื้อที่เกิดตามผิวหนังที่ทำให้เป็นแผลพุพองเรื้อรังและดื้อต่อยาปฏิชีวนะ (methicillin resistant Staphy lococcus aruecus (MRSA) เชื้อที่ทำให้ท้องร่วง (Escherichia coil, Salmonella , Listeria, Shigella และเชื้อที่ทำให้เกิดเหม็นเน่า (Clostridium perfringens)
5. ช่วยละระดับโคเลสเตอรอลในเลือด
6. ช่วยในการทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีการนำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) ซึ่งจะช่วยยืดระยะเวลาการหมดประจำเดือน และบรรเทาการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วย เนื่องจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมบกพร่อง)
7. ช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการฉายรังสี และเคมีบำบัดหลังการผ่าตัดมะเร็ง ลดอาการแพ้ คลื่นไส้ ผมร่วง ทำให้รับประทานอาหารได้ดีขึ้น และพบว่าทำให้ปริมาณฮีโมโกลบินสูงขึ้นด้วย
8. ช่วยลดการเกิดสารก่อมะเร็งบางชนิด เช่น ไนโตรซามีน
9. ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในสัตว์ทดลอง ทั้งในระดับ ระยะเริ่มต้น (initlation) และระยะส่งเสริม (promotion) ของโรคมะเร็ง และในทางระบาดวิทยา พบว่าในคนมีความสัมพันธ์กับการลดอัตราการเสี่ยงของมะเร็งลำไส้


ขั้นตอนการผลิตเอนไซม์เพื่อการบริโภค
1.  จัดเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งประกอบด้วย
     ผลไม้หรือสมุนไพร : น้ำผึ้ง : น้ำสะอาด  ในอัตราส่วน 3:1:10


2.  นำผลไม้มาทำความสะอาด ถ้าผลไม้ใหญ่ให้แบ่งเป็นชิ้นเล็ก แล้วใส่ในภาชนะตามอัตราส่วนโดยเหลือพื้นที่ 1/5 ของภาชนะ เพื่อให้อากาศภายในมีการหมุนเวียน
3.  ปิดฝาและทำประวัติติดข้างภาชนะหมัก ประกอบด้วย
     * ชนิดของผลไม้   *วันเดือนปีที่ผลิต
4.  เมื่อได้ระยะเวลา 3 เดือนแล้ว เกิดน้ำใส (Ionic plasma) ลอยตัว ให้ดูดออกด้วยสายยางแล้วนำมาขยายต่ออีก ทุก ๆ 3 เดือน เป็นเวลา 3 ปี ในอัตราส่วน  น้ำใส:น้ำผึ้ง:น้ำ  1:1:10
5. ตัวกากที่ก้นภาชนะหมักต่อไปในอัตราส่วนเดิม คือ
กากผลไม้ที่เหลือ
: น้ำผึ้ง 1 ส่วน : น้ำสะอาด 10 ส่วน
6. เมื่อครบ 3 ครั้งแล้ว กากที่เป็นผงตะกอน ให้หมักในอัตราส่วน
กาก 1 ช้อนโต๊ะ : ผลไม้ 10 กก. : น้ำสะอาด 10 ส่วน
     หมักจนได้น้ำใส แล้วเอามาต่ออีกเหมือนตอนต้นไปได้เรื่อย


 ประเภทของผลไม้และสารอาหารที่ได้รับ
หมักผลไม้รสหวาน          ได้วิตามิน  เอ  ดี  อี
หมักผลไม้รสเปรี้ยว         ได้วิตามิน ซี เค
หมักจากข้าว                  ได้วิตามิน บี ซี อี
การสังเกต
วิตามินบี                        จะมีกลิ่นเหม็นอมเปรี้ยว
วตามินซี                        จะมีกลิ่นเปรี้ยว สีส้ม
วิตามินเค                       จะมีสีแดง
วิตามินดี                        จะมีกลิ่นหอม
วิตามินอี                        จะมีสีใส

การนำเอนไซม์มาใช้เพื่อการบริโภค
การนำเอนไซม์มาใช้เพื่อการบริโภคนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึง
1. ค่า PH ต่ำกว่า 4
2. ประจุไฟฟ้า 1,000 – 2,000 ไมโครซีเมนต์
3. ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 1 และไม่มีเมทธิลแอลกอฮอล์ ซึ่งแก้ได้โดยการผสมน้ำเพิ่ม 10 เท่า จะไม่มีแอลกอฮอล์


การผสมเอนไซม์พร้อมดื่ม
1. เอนไซม์ 1 ปีขึ้นไป 1 ส่วน ต่อน้ำผึ้ง 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน นำมาผสมในภาชนะ (ถ้าใช้น้ำผึ้งที่มีความชื้น 20 % สามารถดื่มได้ทันที แต่น้ำผึ้งธรรมดาต้องหมักไว้ 3 เดือน) จึงนำมาดื่มได้
2. ถ้าไม่ดื่มโดยทิ้งไว้จนครบ 3 เดือน สามารถนำมาขยายต่อในอัตราส่วนเดิมได้อีก คือ น้ำเอนไซม์ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน + น้ำ 10 ส่วน (เอนไซม์ที่นำมาขยายควรมีอายุการหมักตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เมื่อนำมาขยายแล้ว ประสิทธิภาพจะไม่ลดลง แต่จะได้ปริมาณมากขึ้น และประหยัด)

น้ำเอนไซม์ที่ผ่านขบวนการหมัก
สามารถนำมาประยุกต์ทำอะไรได้บ้าง

อายุ 2 ปี นำมาผสมกับน้ำด่าง สามารถนำมาผลิตทำแชมพูสระผม น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน สบู่น้ำ เป็นต้น
อายุ 4 ปี ใช้หัวเชื้อ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผลไม้ 3 ส่วน น้ำ 10 ส่วน หมักต่อไป 15 วัน สามารถนำมาทำน้ำยาบ้วนปาก ล้างแผลสด แผลอักเสบ พุพอง งูสวัด และล้างสารพิษในพืชผักผลไม้
โดยนำเอนไซม์จำนวน 2 ลิตร หมักกับข้าวสุก 10 กก. และน้ำผึ้ง 1 กก. ใส่น้ำท่วมข้าว หมักภายใน 15 วัน จะได้น้ำเอนไซม์ ส่วนข้าวสุกที่หมักแล้ว นำมาใส่น้ำท่วมข้าว หมักอีก 15 วัน ได้น้ำ Enzyme ทำได้ 3 ครั้ง จนข้าวเป็นผง
อายุ 6 ปี ขยายหัวเชื้อ 1 ส่วน น้ำผึ้ง 1 ส่วน น้ำ 10 ส่วน ดื่มได้เลย เมื่อเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีแก๊ส ท้องเสีย 20-30 ซีซี ใช้ทำผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ผิวพรรณ ใบหน้า ตา จมูก ช่องปาก คอ ดับกลิ่นตัวในร่มผ้า เท้า ให้สะอาด และสดชื่น
อายุ 6-10 ปี ขึ้นไป ใช้ดองสมุนไพรเป็นเวลา 1 เดือน จะได้ประสิทธิภาพตามคุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละตัวเพิ่มขึ้น ควรรับประทานวันละ 1 ครั้ง (3-10 ซีซี) ก่อนหรือหลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง


ที่มา : หนังสือ เอนไซม์ น้ำหมักชีวภาพเพื่อการพอเพียง
         โดย ดร.รสสุคนธ์  พุ่มพันธ์ุวงศ์  บรรณาธิการ

ดาวน์โหลดบทความ ในรูปไฟล์เอกสาร

เอนไซม์_น้ำหมักชีวภาพเพื่อการพอเพียง เอกสาร pdf ขนาด 1.2 MB
เอนไซม์_น้ำหมักชีวภาพเพื่อการพอเพียง เอกสาร word ขนาด 0.4 MB
วิธีการปริ๊นท์หนังสือ "เอนไซม์ น้ำหมักชีวภาพเพื่อการพอเพียง"  เอกสาร pdf ขนาด 1.88 MB



วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มาทำ น้ำส้มสายชูหมัก จากกล้วย กันเถอะ

          ผู้เขียนได้พยายามค้นหาวิธีทำน้ำส้มสายชูหมัก จากอินเตอร์เน็ต และสอบถามจากชาวบ้านที่มีประสบการณ์ในการทำไวน์ และทำน้ำส้มสายชูหมัก จึงได้รวบรวมข้อมูลและนำมาทดลองด้วยวิธีการหลายวิธี โดยตั้งโจทย์ไว้ดังนี้คือ
1. สามารถทำเองได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องศึกษามาก ทุกคนสามารถทำได้
2. ใช้งบประมาณไม่มาก เหมาะกับคนทุกฐานะ
3. มีความปลอดภัยสูง มีผลข้างเคียงน้อยจนถึงน้อยที่สุด
4. ใช้ระยะเวลาไม่นานจนเกินไป (ไม่งั้นคนป่วยตายก่อนพอดี)
5. รสชาติไม่แย่จนเกินไป (เคยกินฟ้าทะลายโจรตอนเด็กเกือบอ้วก เลยกลัวสมุนไพรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา)
6. นำไปทำยาดองไข่แล้วได้ผลคือจะมีฟองก๊าซผุดขึ้นทันทีที่เริ่มดองไข่ และทำให้เปลือกไข่นิ่ม
    ภายใน 1-2 วัน

           จนได้ข้อสรุปว่า ผลไม้ที่เหมาะสมจะนำมาทำน้ำส้มสายชูหมักโดยระยะเวลาอันสั้น โดยไม่ผ่านกระบวนการเติมสารเคมีทางวิทยาศาศตร์หรือกระบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และมีราคาถูก หาง่าย มีอยู่ ด้วยกัน 2 ชนิดคือ สับปะรด และกล้วย ซึ่งอาจจะมีมากกว่านี้ แต่ผู้เขียนพำนักอยู่ที่อำเภอหัวหิน ซึ่งเป็นอำเภอที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะว่ามีตั้งแต่ สากกะเบือยันเรือรบ ขอย้ำว่า มีเรือรบจริง ๆ จอดเทียบอ่าวเพื่อพิทักษ์รักษาพระราชวังไกลกังวลอยู่ (นอกเรื่องแล้วอีตาคนเขียน) อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีหาดทรายขาว ทะเลสวย มีน้ำตกป่าละอู เขื่อนปราณบุรี (ที่จริงอยู่ อ.ปราณ แต่อยู่ใกล้ ๆ กันน่ะแหละ มีสถานที่ท่องเที่ยว จนแทบจะเรียกได้ว่า มีคนทุกประเทศอยู่ในอำเภอนี้ และที่สำคัญที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ (กว่าจะวกกลับมาได้:คนอ่านบ่นพึมพำ) มีพืชไร่พืชสวนของชาวบ้านมากมาย มีตั้งแต่ กล้วย สับปะรด อ้อย ข้าวโพด มะละกอ ฟักทอง ว่านหางจระเข้ มะพร้าว ฯลฯ และมีราคาถูกมาก ๆ ๆ ๆ ถ้าเราเหมา(เหมือนเหมา ๆ ของ วันทูคอลล์เลยแฮะ) เห็นราคาที่แผงสับปะรด อยู่ที่ กก.ละ 4-6 บาท ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ราคาประมาณนี้ แต่ถ้าเป็นกล้วยหอมตกเกรด ทราบราคาแล้วใจหายแทนชาวบ้าน กก.ละ 3 บาท เท่านั้น กล้วยหอมตกเกรดสภาพดีมีรอยดำที่เปลือกกระจึ๋งเดียวโลละสามบาทครับผมพิมพ์ไม่ผิดครับท่านผู้อ่าน... เหตุที่มีผลไม้มากมายเช่นนี้ เพราะชาวบ้านเค้าทำผลไม้ส่งโรงงานบริษัทโดลล์ (dole) ซึ่งบริษัทนี้ทำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผลไม้กระป๋องต่าง ๆ เมื่อทำเสร็จก็นำข้ามน้ำข้ามทะเลไปขายถึงอเมริกา ข้าพเจ้านั่งรถผ่านโรงงานแห่งนี้เป็นประจำ จึงเป็นเหตุให้มีความคิดขึ้นมาว่า ประเทศของเราคือสุวรรณภูมิ แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีทรัพย์ในดินมีสินในน้ำ เรากลับไม่สนใจในของดีที่มีอยู่ แต่ชาวต่างชาติสิเค้าอยู่ถึงอเมริกาเค้ายังสนใจอยากได้ของของเรา เราจะจะนิ่งเฉยเสียได้อย่างไร ต้องฉวยโอกาสซะตอนนี้เลยทีเดียว (ว่าไปโน่นเชียว:ผู้อ่าน)

          ประจวบกับข้าพเจ้ามีความสนใจเกี่ยวกับ เรื่องจุลชีววิทยา (แต่ไม่ได้เรียนมา ชีวิตมันเศร้าอย่าให้ผมต้องเล่าเลยครับ ฮือฮือ:ผู้เขียน) (ตานี่เป็นอะไรของมัน:ผู้อ่าน) ข้าพเจ้าสนใจเรื่องการถนอมอาหาร และเรื่องการรักษาโรคด้วยน้ำหมักชีวภาพ , น้ำหมักเอนไซม์ (enzyme therapy) เช่นน้ำมหาบำบัดป้าเช้ง ,น้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ (ferment fruit) เช่น จตุผลาธิกะ ของบ้านอโรคยา , การหมักนม (ferment milk) เช่นโยเกิร์ต , อาหารหมักดองต่าง ๆ (ferment food) เช่นปลาส้ม (ชอบมากแม่ทำให้กิตั้งแต่เด็กแต่ก้างชอบติดคอ) อะไรเหล่านี้เป็นต้น ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างความมหัศจรรย์ของการหมักดอง (เขียนว่าหมักดองแลไม่น่าศรัทธาเลยแฮะสู้คำว่าเฟอร์เม้น ferment ก็ไม่ได้ ทั้งที่ความหมายเดียวกัน) ถ้านำยาสมุนไพรต่าง ๆ ไปดองเหล้า หรือดองน้ำส้มสายชูหมัก จะเป็นการสกัดสารที่เป็นตัวยาออกมา ซึ่งตัวยาจะออกมามากกว่าการสกัดด้วยการต้ม และยังมีความลับในการหมักของจุลินทรีย์อีกมากมายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยา และได้ทราบข่าวว่าประเทศไทย(หลายและจังวุ๊ย) ได้เกียรติเป็นศูนย์จุลินทรีย์แห่งภูมิภาคเอเชียด้วย ศูนย์ใหญ่มาก ตั้งอยู่ที่คลองห้า ปทุมธานี คิดว่า ต่อไปในอนาคตนี้ ความรู้เรื่องจุลินทรีย์ และการหมัก (ferment) ต่าง ๆ จะขยายตัวในวงกว้างมากขึ้น ประชาชนจะให้ความสนใจมากขึ้น เพราะจุลินทรีย์นี้ จะให้โทษก็ได้ ให้คุณก็ได้ ทุกคนจำเป็นต้องมีความรู้เรื่องจุลินทรีย์ ถ้าไม่อย่างนั้นถ้าคิดว่าขึ้นชื่อว่าจุลินทรีย์แล้วคิดว่าเป็นเชื้อก่อโรคเสียหมด จะฆ่าตะพรึด ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางฆ่าได้หมดหรอก เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยจุลินทรีย์ เราจะอยู่โดยไม่มีจุลินทรีย์ไม่ได้เค้าก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก ซึ่งเหมือนกับมนุษย์เราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก เราต้องใช้วิธีให้คนดีควบคุมคนไม่ดี คือให้มีจุลินทรีย์ที่ดีอยู่ในร่างกายเราให้มาก ๆ คอยควบคุมจุลินทรีย์ที่ไม่ดีให้มีน้อย ๆ หน่อย แต่เอาเถอะอย่างน้อยตอนนี้ ทุกคนก็คงจะรู้จัก จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส สายพันธ์ที่ยาคูลท์ เลือกใช้ (เกี่ยวไรอยู่ ๆ โดดมาได้ไง) หรือไม่ก็คงรู้จักป้าเช้งมาบ้างแล้ว (ป้าเช้งเนี่ยนะแกโดนเฉ่งอยู่นี่:ผู้อ่าน) (เออนะก็แกดังออกน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ของแก คนที่กินของแกแล้วโรคหายก็เยอะแยะ ที่มันมีปัญหาอยู่ที่ยาหยอดตา และไม่มีอ.ย. ต่างหาก:ผู้เขียน) ป้าเช้งนี่แหละ ช่วยในการการบูมเรื่องจุลินทรีย์ขึ้นมาในระดับนึง

          ด้วยฐานะอันพอมีจะกิน (ข้าวคลุกกะปิ) ข้าพเจ้าจึงได้นำเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้ นำมาทดลอง ตามแบบฉบับของชาวบ้านตาดำ ๆ (จะบอกทำไมเนี่ย:ผู้อ่าน) เผื่อจะได้เผยแพร่ความรู้ที่บรรพบุรุษของเราได้คิดค้นขึ้นมาและได้เก็บรักษาพัฒนาต่อยอดความรู้นี้ไว้มาเป็นพัน ๆ ปี ได้อย่างน่าอัศจรรย์ (อะไรจะนานขนาด:ผู้อ่านขัดคอ) (ก็ประวัติเค้ามาอย่างนั้นดูอย่างประวัติของไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักสิ สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้เลยนะ:ผู้เขียนแก้ต่าง) ข้าพเจ้าจึงได้ทดลองหมักหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โยเกิร์ต บัวหิมะธิเบต(คีเฟอร์) คอมบูชา(ชาหมัก) ลูกยอ มะขามป้อม ว่านหางจระเข้ บอระเพ็ด กล้วย สับปะรด ทับทิม ฝรั่ง มะเขือเทศ ฟักทอง มะม่วง มะละกอ หมักเดี่ยวบ้าง หมักรวมบ้าง ก็ว่ากันไป แต่ในบทความนี้ขอพูดถึงเรื่องเฉพาะการทำน้ำส้มสายชูหมักจากกล้วยเท่านั้น ขอย้ำว่าผู้เขียนได้ทำแล้วได้ผล และได้ทดสอบด้วยเครื่องมืออันทันสมัยที่สุดในโลก (คือใช้ตาดู ใช้จมูกดมกลิ่น ใช้หูฟังเสียง มีเสียงจริง ๆ นะตอนหมักน่ะและจะมีเสียงอีกทีก็ตอนถังระเบิด ใช้ผิวหนังบอบบางสัมผัส และที่จะทำให้ท่านผู้อ่านมั่นใจที่สุดคือ คือกินเข้าไปเลย.!!! .อิอิ จะเอาเครื่องมืออะไรมาวัดโน่นวัดนี่ได้ล่ะ มีแบคทีเรียชนิดใดบ้าง เชื้อราล่ะ ยีสต์ล่ะ มีแอลกอฮอลล์รึเปล่า มีเมทิลไม๊ มีกรดกี่เปอร์เซ็น กรดแลคติค กรดอะซิติก ฯลฯ ซื้อของมาหมักเงินก็จะหมดตูดอยู่แล้ว:ผู้เขียนมีอารมณ์) (พูดหยาบคาย:ผู้อ่าน) (จะเป็นไรไป ทีพี่โน๊ตเดี่ยวไมโครโฟนยังพูดได้:ผู้เขียนแถ) ถ้าอยากรู้ผลก็ดูผลทดลองของฝรั่งละกัน แปลเอาแองเด้อ ลิ้งค์ 1 ลิ้งค์ 2 ลิ้งค์ 3 ใครแปลแล้วก็ช่วยพิมพ์ส่งมาให้บ้างจะได้ช่วยอัพลงบล็อก อิอิ)

          ก็อย่างที่บอกข้างต้น ข้าพเจ้าพำนักอยู่แถว อ.หัวหิน ก็อาจพาท่านผู้อ่านออกทะเลไปได้ง่าย ต้องขออภัย ขั้นแรกเราต้องจำสูตรง่าย ๆ ให้ได้ครับ 1:3:5 คือใช้น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน ต่อผลไม้ 3 ส่วน และน้ำ 5 ส่วนครับ ผมขอแนะนำให้หมัก 1 ถังใหญ่ 18 แกลลอน (ผมละงงจริง ๆ ไอ้ 1 แกลลอนนี่เท่าไหร่กันแน่ บางทีก็บอกว่า 4.55 L สำหรับ Eng บางทีก็บอกว่า 3.78 สำหรับUS แล้วแกลลอนของพี่ไทยนี่มันเท่าไหร่กันแน่ ถังที่ผมซื้อมานี่บอกแต่ความจุเป็นแกลลอนอย่างเดียวเลย ไม่บอกเป็นลิตรเลย เอากะมันซิ ยกไปวางบนชั่งเครื่องชั่งน้ำหนักถังมันก็บังหน้าปัดใครรู้ช่วยเม้นท์ทีเถอะ:ผู้เขียน) (555 ทำบล็อกมาไม่มีคนเม้นท์เลย เป็นอุบายล่ะสิ :คนอ่าน) (เชอะ รู้ทัน:ผู้เขียน) ถังที่ใช้ควรเป็นถังสีขาวที่ทำจากเม็ดพลาสติกที่บรรจุอาหารได้ ให้สังเกตอักษร pp หรือมี เลข ๕ และมีรูปสามเหลี่ยมล้อมรอบ เพราะอ.ย.บอกว่า ต้อง pp เท่านั้น ครับ พี่ ถ้าไม่ใช่ pp ห้ามบรรจุอาหาร เพราะจะมีเม็ดพลาสติกปนเปื้อนออกมา และต้องใช้สีขาวเท่านั้น แต่ถ้าเป็นชนิดใสจะดีที่สุด และข้อดีอีกอย่างคือ ประมาณว่า ถ้าหมักไม่ได้ผล (อ้าวยังไม่ได้หมักเลยแช่งกันแล้ว:ผู้อ่าน) (คิดมากน่า:ผู้เขียน) ก็เอาถังมาใช้งานได้อีก นะครับ และอีกอย่างคือง่ายต่อการคน และขนาดถังควรพอดีกับถุงพลาสติกที่ซื้อมา หรือท่านผู้อ่านจะใช้ภาชนะอะไรก็ตามแต่เถิดครับ พลิกแพลงได้ครับ (ไม่ใช่แค่ไข่แพงอย่างเดียว อิอิ)


การทำน้ำส้มสายชูหมักจากกล้วย
    วัสดุ/อุปกรณ์ :
1. กล้วยน้ำว้าสุกหรือกล้วยอะไรก็ได้ เมื่อปอกเปลือกออกแล้วให้มีน้ำหนัก 15 กก.
2. น้ำสะอาด 25 ลิตร
3. น้ำตาลทรายแดง 5 ก.ก.
4. ถังหมัก 18 แกลลอน
5. ถุงพลาสติกใบใหญ่

    วิธีทำ :
1. ปอกกล้วยใส่ถุงพลาสติกซึ่งสวมไว้ในถัง
2. เอาน้ำตาลเทใส่น้ำ คนให้เข้ากัน
3. ใส่ถุงพลาสติกที่ซ้อนกัน 2 ชั้นในถัง แล้วเทน้ำในข้อ 2 ใส่ ก่อนเทน้ำให้เช็คดูว่า
    ได้ดึงถุงพลาสติกขึ้นมาจนสุดแล้ว และให้เหลือเนื้อที่สำหรับหายใจประมาณ 1/5 ของถัง
4. 1-7 วันแรก เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่จริงแล้วยีสต์ที่อยู่กับกล้วยตามธรรมชาติ จะทำการเพิ่มจำนวน ทำการแบ่งตัวแบบทวีคูณ จะสังเกตด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไม่เป็นไร ให้กดกล้วยให้จมน้ำทุกวัน เพื่อกันเชื้อราจับที่ผลกล้วย เมื่อครบ 1 เดือนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกด
5. เมื่อยีสต์ได้เพิ่มประชากรจนหนาแน่พอแล้ว หลังจากนั้นจะเริ่มทำการหมัก(ferment) โดยเปลี่ยน น้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ ตอนนี้เราจะสังเกตเห็น จะมีก๊าซออกมามาก(อย่างกับโรงงานเลยวุ๊ย) ให้คลายถุงเพื่อให้ก๊าซออกทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือนหรือจนกว่าจะไม่มีก๊าซออกมา

ขั้นตอนที่ 2
     6. ให้นำสายยางดูดน้ำออกมาใส่ภาชนะเตี้ย ๆ เช่นกล่องอาหาร(ซื้อมา 25บาท) แล้วใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปิดปาก ใช้ยางรัดของรัด (ซื้อที่ไปรษณีย์) ไม่ต้องปิดฝา เพื่อให้แบคทีเรียตระกูลอะซิโตแบคเตอร์ที่อยู่กับกล้วยตามธรรมชาติ ทำหน้าที่เปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้เป็นกรดน้ำส้ม ทำงานได้สะดวก เพราะขั้นตอนนี้ต้องใช้อากาศในการหมัก (ferment) ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 20 วัน (ชิวชิว) แต่ถ้าไม่ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ ก็ให้ใส่น้ำ2/3 ของกล่องอาหารแล้วปิดฝาไปเลยก็ได้ แต่จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก ประมาณ 30 วัน ประมาณ นี้ (อ้าวแล้วไม่บอกแต่ทีแรกแค่ 10 วันเองจะเป็นไรไป:ผู้อ่าน) แต่ถ้าไม่ทำขั้นตอนนี้ คือจะไม่ดูดน้ำออกมาใส่กล่องอาหารปล่อยให้หมักอยู่ในถังอย่างเดิมนั้นก็ได้ ซึ่งผลที่ออกมาจะดีกว่าด้วย เพราะกล้วยจะจมหมด และน้ำจะใสแจ๋วสีอำพัน แต่ต้องใช้เวลานานมากประมาณ 4-6 เดือน ช้าเร็วขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ถ้าอากาศร้อนชื้นจุลินทรีย์จะขยันกันหมักมากขึ้น
     7. เมื่อได้แล้วให้ใช้สายยางดูดใส่ขวดหรือโหลที่สะอาดและแห้ง ควรจะเป็นขวดแก้ว เพราะดูน่าศรัทธาสำหรับการบริโภค ไม่ต้องไปต้มฆ่าเชื้อ ไม่จำเป็นต้องกรอง (เพราะข้าน้อยไม่รู้จะเอาอะไรกรอง อิอิ) ไม่ต้องกลัวเชื้อโรค เพราะจะมีกรด อะซิติก 4 % ซึ่งจุลินทรีย์ทั่วไปตายเกลี้ยงแล้วครับ เหลือแต่กลุ่มจุลินทรีย์อะซิโตแบคเตอร์เท่านั้น ซึ่งพวกมันส่วนมากก็จะม้วยมรณาเหมือนกัน จะเหลือแต่พวกถึก จริง ๆ ที่จะทำการบ่มต่อไป ต่อไป ต่อไป (จะต่อ ไปถึงไหนพ่อคู๊น....:ผู้อ่าน) จะบ่มไปเรื่อย ๆ คล้าย ๆ กับไวน์ ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งมีคุณค่า 18 ปียิ่งดี (ประมาณว่าเด็กวัยส์รุ่นงั้นเหรอ:ผู้อ่าน)เพราะสารอาหารและสารที่เป็นยาต่าง ๆ จะมีโมเลกุลเล็กลง พลังงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเฟอร์เม้น หรือที่เรียกว่าพลังงาน ionic discharge จะเพิ่มมากขึ้นด้วย ตัวยาสามารถแทรกซึมเข้ารักษาเซลล์ได้ดี เก็บไว้นานจะมีความใสขึ้นเรื่อย ๆ (เหลือเชื่อ เกินไป ๆ:ผู้อ่าน) (อ๊ะ ถ้าไม่เชื่ออ่านเอาเอง กดที่ลิ้งค์นี้ ที่นี่ด้วย อันนี้ตบท้าย : ผู้เขียน)
     8. ส่วนของกล้วยที่เหลือเป็นกากนำมาทำซ้ำด้วยวิธีเดิมโดยเริ่มจากข้อ 2-7

จบแล้วคร้าบ ขอบคุณที่ทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้นะครับ สวัสดี มีเงินทองเหลือใช้ ทุกคนนะครับ

หมายเหตุ : การหมักนี้อาจจะมีเชื้อจุลินทรีย์นอกจากที่กล่าวมานี้ผสมอยู่ด้วยก็ได้ แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าเราทำด้วยความสะอาด จุลินทรีย์ที่อยู่กับกล้วยนั้นเป็นจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรกับเราทั้งหมด ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ที่สำคัญต้องเน้นเรื่องความสะอาด และเน้นเรื่องน้ำ น้ำที่ใช้ ถ้าเป็นน้ำประปา ให้ใส่ตุ่มเปิดฝาทิ้งไว้ 2-3 วัน เพื่อให้คลอรีนระเหยออก ถ้าไม่ไล่คลอรีนออกก่อนจะทำให้จุลินทรีย์ที่ดีตายหมด






ภาพถังหมักกล้วย


เปิดฝาออกดู กล้วยครับกล้วย กล้วยไข่ครับ



เมื่อหมักได้ที่แล้วดูดเฉพาะน้ำออกมา
ใส่กล่องอาหาร ปิดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ 2 ชั้น ใช้ยางรัด
และไม่ต้องปิดฝา เพราะจะเกิดไอน้ำหนังสือพิมพ์จะเปียก (ในรูปถ่ายไว้ตอนปิดฝา)


  น้ำส้มสายชูหมักจากกล้วย (ซ้าย) หมักเองเสร็จเรียบร้อย โชว์ซะหน่อย อิอิ
 เปรียบเทียบกับน้ำส้มสายชูหมัก จากสับปะรด ยี่ห้อไดมอนด์ (ขวา)
ที่มีวางขายในฟู้ดแลนด์



น้ำส้มสายชูที่ได้นำไปดองไข่ เป็นยาสูตรไข่ดิบดองด้วยน้ำส้มสายชูหมัก




จะสังเกตเห็นภาพฟองก๊าซที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เริ่มดองไข่
แสดงว่าน้ำส้มสายชูหมักนั้น ผ่านเกณฑ์มาตรฐานในการทำยาไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมัก

       ลิ้งค์ของบทความที่เกี่ยวข้อง


วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก



          ไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักเป็นตำรายาโบราณของจีนในสมัยพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้สืบทอดต่อมาจนถึงบัดนี้ได้เผยแพร่ไปทั่วแถบเอเชีย และในหมู่ชาวจีน ในประเทศอเมริกาผู้นำตำรามาเผยแพร่คนแรกได้นำยามาทานเอง และแนะนำให้เพื่อนฝูงทานด้วยได้ผลดีเหมือนปาฏิหารย์สามารถรักษาโรคได้หลายโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคของผู้สูงอายุ ผู้เผยแพร่ทานยา ไปแล้วกว่า 100 ฟองได้ผลดีเหมือนอย่างหนังกำลังภายใน สังเกตจากการเดินขึ้นบันได จะไม่เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน เพราะหัวใจจะแข็งแรงมากเป็นพิเศษ


สรรพคุณ :
รักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) เลือดข้นและเหนียวเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ ลดไขมันในเลือด (ทั้งคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์) ไทรอยด์ อัมพฤกษ์หรืออัมพาตอันเนื่องจากเส้นเลือดในสมองตีบ ละลายหินปูน อาการเมื่อยชา ตึง ปวดและบวมตามร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณด้านหน้าและด้านหลัง ปวดเข่าปวดหลัง ขาไม่มีเรื่ยวแรง (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหินปูนที่งอกพอกกระดูกสันหลังเบียดหรือทับเส้นประสาท)โรคข้ออักเสบ เช่นข้อนิ้วมือแข็งแรงและงอไม่ลงเป็นต้น ไหล่ติดอาการหน้ามืดบ่อยๆ หมดความรู้สึกทางเพศ ทำให้หลอดเลือดสะอาดเลือดหมุนเวียนได้สะดวก สร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ไม่เกิดสิว แผลสดจะหายเร็วกว่าปกติ ใบหน้าอ่อนวัย แข็งแรงกว่าเดิมเป็นยารักษาโรคครอบจักรวาล สำหรับผู้สูงอายุ 40 ปีขึ้นไปไม่มีผลข้างเคียงเพราะมาจากธรรมชาติสุดแสนประหยัด สามารถทำได้เอง และได้ผลอย่างแท้จริง


วิธีการทำไข่ดิบดองน้ำส้มสายหมัก
ตัวยา/อุปกรณ์ ที่ใช้ :
1.  น้ำส้มสายชูหมัก หมักมีสีคล้ายกับสีของน้ำชาอ่อนไม่ใสเหมือนสีของน้ำส้มสายชูกลั่น ซึ่งเป็นสารเคมี น้ำส้มสายชูหมักที่ใช้ต้องมีกรดน้ำส้มอยู่ประมาณร้อยละ 4.2 ถึง 4.5% น้ำส้มสายชูหมักที่นิยมนำมาดองไข่ในตอนนี้เป็นยี่ห้อ ไดมอนด์ มีขายที่ฟู้ดแลนด์ มีหลายสาขาในกรุงเทพฯ
2.   ไข่ไก่สดใหม่ 8 ฟอง ต่อน้ำส้มสายชูหมัก 1 ขวด (ไข่ไก่ขนาดเล็กเบอร์ 3 หรือ เบอร์ 4 จะเหมาะที่สุด)ห้ามแช่เย็นมาก่อน ถ้าใช้ไข่จะเน่าเสียทั้งหมด
3.   โหลแก้วเท่านั้น จำนวน 2 ใบเพื่อให้การทานยาต่อเนื่อง เลือกขนาดโหลที่พอดี อย่าให้ไข่ซ้อนกันเกิน 2 ชั้น ถ้าซ้อนกันมาก ไข่มีโอกาสแตกได้ถ้าไม่มีโหลอาจใช้ถ้วยแก้วดองไข่เพียงครั้งละ 5-8 ฟองแทนก็ได้บางคนก็ดองใส่แก้วๆละฟอง  อันนี้แล้วแต่ความเหมาะสมที่จะพลิกแพลงเอา


การเตรียมยา
1.   เช็ดผิวไข่ให้ สะอาด อาจแช่น้ำหรือขัดในน้ำให้สะอาดเบาๆเช็ดให้แห้งนำไปเรียงในโหลแก้ว เทน้ำส้มสายชูโดยให้น้ำสายส้มชูท่วมไข่  เมื่อแช่ทีแรกจะเห็นฟองก๊าซผุดขึ้นมาตามเปลือกไข่
2.   ไข่จะนิ่มทั้งฟองภายในหนึ่งหรือสองวัน และไม่ควรปิดฝาให้แน่นในช่วงนี้ เพื่อให้แก๊สที่เกิดระบายสู่บรรยากาศได้โดยง่าย หลังจากนั้นค่อยปิดฝาขวดโหล  เมื่อ ทิ้งไว้นาน  4-5 วันเต็มจะสังเกตเห็นไข่จะขยายตัวใหญ่ขึ้น แต่บางทีก็ต้องดองถึง 10 วัน จะช้าจะเร็วนั้นขึ้นอยู่กับความข้มข้นของกรดในน้ำส้มด้วย เมื่อดองไข่ได้ที่แล้วให้นำไข่ออกมารับประทานวันละ 1 ฟองจนหมดจึงทิ้งน้ำส้ม ทานติดต่อกันไปจึงจะได้ผล





รูปแสดงการเตรียมยา
ไข่ที่กำลังดอง













การรับประทานยา
1.    นำไข่ซึ่งนิ่ม 1 ฟอง เปิดน้ำประปาล้างไข่พร้อมใช้นิ้วลูบเปลือกไข่เบาๆเปลือกไข่จะยุ่ยหลุดออกมาเหมือนแป้งจนเกือบหมดเหลือเพียงเยื่อใสๆซึ่งหุ้มไข่ขาวและไข่แดงอยู่ภายใน นำไข่ใส่แก้ว เจาะเยื่อหุ้มไข่ (วางไข่ในแก้ว ป้องกัน ไข่กระเด็น แล้วใช้ไม้จิ้มฟันเจาะเอาเยื้อหุ้มไข่ทิ้ง)นำไข่แดงและไข่ขาวมารับประทานหลังอาหารเช้า วันละ 1 ฟอง ห้ามทานตอนท้องว่างถ้ารับประทานยากให้ผสมน้ำผึ้งก็ได้แต่ผสมกับน้ำเชื่อมจะคล้ายบัวลอยทานง่ายที่สุด ห้ามทำให้สุกเด็ดขาด น้ำส้มจะเสื่อมสภาพ
2.    หลังรับประทานแล้วให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดาให้มากๆทั้งวันเพื่อระบายท้องเสียหลังทานยาห้ามดื่มน้ำเย็นทันทีเพราะอาจทำให้คลื่นไส้ได้  ถ้าหายดีแล้วควรทานเป็นประจำ แต่ลดยาลงเหลืออาทิตย์ละ 2-3 ฟอง(ทุกครั้งที่ทานยาห้ามนอนทันทีแต่ควรทำอะไรไปพลางก่อนเพื่อให้ยาเดินสำคัญมาก) การทานหลังอาหารมื้อเช้าประมาณ 10-15 นาที จะดีที่สุดแล้วทานน้ำมะนาวหรือของเปรี้ยวอื่นๆ ชิ้นเล็กๆ ตบท้าย จะช่วยให้รู้สึกดีมากมีน้อยมากที่จะพบเฉพาะบางท่านเท่านั้น ที่รับประทานยาติดต่อกันหลายวันอาจมีอาการร้อนใน เช่น ปากเป็นเม็ด ริมฝีปากแห้ง หรือมีขี้ตา เป็นต้นควรหยุดทานยาชั่วคราว แล้วแก้อาการร้อนในด้วยการรับประทาน ยาเขียวตราใบห่อชนิดระบายอ่อน ในบางกรณีอาการปวดหรือชาอาจมากขึ้นภายในหนึ่งหรือสองวันให้อดทนรับประทานต่อไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการจะดีขึ้น เห็นได้ชัดเนื่องจากเป็นช่วงยาออกฤทธิ์ใหม่ๆขับอาการของโรคออกแล้วจะรู้สึกดีขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะผู้ที่กำลังป่วยอยู่


ประวัติและการวิเคราะห์การทำงานของยา
1.    ผู้มีอาการเสี่ยงต่อการช๊อก ได้แก่โรคหัวใจ (เจ็บแปลบๆ ปวดจี๊ดสาเหตุ เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเพราะเส้นเลือดฝอยตีบ) , ผู้ที่เคยผ่าตัดหัวใจ (ทำบายพาสมาแล้วแต่เป็นซ้ำอีก) , หัวใจโต , ผู้มีน้ำตาลในเลือดสูงมากถึงขึ้นต้องฉีดอินซูลิน , ผู้มีความดันโลหิตสูงเส้นเลือดฝอยมีโอกาสเปราะแตกอาจเสียชีวิตได้ทุกเมื่ออาการเสี่ยงเหล่านี้จะหมดไปอย่างรวดเร็วในทันทีที่เริ่มทานไข่ดองน้ำส้มสายชูหมักซึ่งจะรู้สึกได้เอง ยิ่งสามารถทานต่อเนื่องได้ทุกวันผู้ป่วยจะรู้สึกได้เองว่ายานี้ได้ผลดีจริงในระยะเวลาที่เร็วมากอีกทั้งน้ำส้มสายชูหมักมีวิตามินซีสูงมากทำให้เส้นเลือดเหนียวและเปราะแตกได้ยากมาก
2.    สำหรับผู้ป่วยที่มีผลการตรวจขอแพทย์เป็นตัวเลขยืนยันชัดเจนเมื่อทานยาติดกันประมาณ 30 ฟอง แล้วไปให้แพทย์เจาะเลือดผลปรากฎว่าระดับน้ำตาล , ความดัน , ครอเรสเตอรอล ไตรกรีเซอร์ไรด์จะลดลงใกล้เคียงปกติทุกคน ยังไม่เคยมีใครทานยานี้แล้วไม่ได้ผลเพียงแต่ต้องทำยาให้ถูกต้อง และทานยาให้ต่อเนื่องจึงจะถูกวิธีโดยผู้ป่วยทุกรายยืนยันเองได้ผลจริง และได้ผลเร็วเกินคาด
3.    โรคต่างๆ ที่เกิดจากหินปูนกดทับเส้นประสาทควบคุมการเคลื่อนไหว ได้แก่อาการเมื่อย ชา ปวด บวม ข้อและเข่าอักเสบ ไหล่ติดนิ้วมือเท้าแข็ง ตับ ไตไทรอยด์ นอนไม่หลับ ฯลฯ รักษาได้ผลดีรวดเร็วมาก เพราะน้ำส้มจะละลายหินปูนตามข้อต่างๆ รวมทั้งนิ่วและในไตน้ำส้มจะทำให้เส้นประสาทสั่งการจากสมองทำงานได้สมบูรณ์ด้วยการทำความสะอาดเส้นเลือดฝอยทุกเส้น ทำให้เลือดเดินได้สะดวก อวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ตับอ่อนไต หัวใจ ม้าม ฯลฯ ก็สามารถฟื้นตัวทำงานได้ปกติโดยอาศัยความสามารถของไข่ไก่เป็นตัวพาน้ำส้มไปทำความสะอาดผนังหลอดเลือดในรูปของสารอาหารเพราะน้ำส้มสายชูหมักถือเป็นสิ่งแปลกปลอมทางร่างกาย รับประทานโดยตรงร่างกายจะไม่ดูดซึมและขับออกทั้งหมดทางปัสสาวะจึงไม่สามารถใช้ประโยชน์โดยตรงได้
4.    น้ำส้มสายชูหมักในไข่ไก่จะละลายหินปูนและทำความสะอาดผนังทางหลอดเลือดทั่วร่างกายแม้แต่ในกระดูกตั้งแต่เส้นเลือดใหญ่จนถึงเส้นเลือดฝอยอย่างละเอียดทำให้ปัญหาในการอุดตันในเส้นเลือดฝอยที่เป็นเส้นประสาทสั่งการสำคัญๆ สะอาดเลือดไหลเวียนสะดวก ทำให้ยานี้รักษาโรคอัมพฤกษ์และอัมพาตหายและได้ผลจริงโดยหลักการที่ว่าเมื่อหลอดเลือดสะอาดจะทำให้เซลล์เนื้อเยื่อทั่วร่างกายฟื้นตัวกลับสู่ปกติเพราะได้รับสารอาหารและออกซิเจนจากเลือดอย่างพอเพียงและทั่วถึงและดึงของเสียที่เกิดจากการใช้งานของเซลล์กลับออกมาทำให้ปราศจากเซลล์เสียในร่างกายเท่ากับการป้องกันและยับยั้งการเกิดการขยายตัวของเซลล์มะเร็งโดยอัตโนมัติ ทานยานี้เป็นประจำจะช่วยป้องกันและรักษาโรคได้ทุกชนิดดังกล่าวมานับว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่มีสรรพคุณวิเศษต่อมวลมนุษย์อย่างแท้จริงเพราะราคาถูกทำเองได้ง่ายๆไม่ต้องทานยาแผนปัจจุบันที่เป็นสารเคมีและราคาแพงไปตลอดชีวิตแต่อาการทรงตัวไม่สามารถหายขาดได้และยังมีผลข้างเคียงติดตามมาเป็นอันตรายต่อตับและไตอย่างมาก

·       ท่าน อ.ศักดา วัชรินทร์กร ที่ชมรมแพทย์แผนไทยก้าวหน้า มีผลวิจัยเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
         หาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ " ไข่+น้ำส้มสายชูรักษา โรค "ตามแผงเซเว่นหรือ ซีเอ็ดบุ๊ค



ประเภทของน้ำส้มสายชู
น้ำส้มสายชู แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
1 . น้ำส้มสายชูหมัก คือน้ำส้มสายชูที่ได้จากการหมัก เมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว  ข้าวโพด ผลไม้ เช่น สับปะรด แอ๊ปเปิ้ล หรือ น้ำตาล กากน้ำตาล
                การผลิตน้ำส้มสายชูหมัก เป็นการหมัก สองขั้นตอน คือ การหมักน้ำตาล ให้เกิดแอลกอฮอล์โดยใช้ยีสต์ ตามด้วยการหมักแอลกอฮอล์ให้เกิดกรดอะซิด้วยแบคทีเรียในกลุ่ม อะซิโตแบ็คเตอร์ และ กลูคูโนแบ็คเตอร์น้ำส้มสายชูที่หมัก จะใส ไม่มีตะกอน ยกเว้นตะกอนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีกลิ่นหอมตามกลิ่นของวัตถุดิบ มี รสชาติดี มีรสหวานของน้ำตาลที่ และมีปริมาณกรดน้ำส้ม (กรดอะซิติก) ไม่น้อยกว่า 4%
2. น้ำส้มสายชูกลั่น เป็น ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเอทธิลอัลกอฮอล์กลั่นเจือจางมาหมักกับเชื้อน้ำส้มสายชู หรือเมื่อหมักแล้วนำไปกลั่น หรือได้จากการนำน้ำส้มสายชูหมักมากลั่น น้ำส้มสายชูกลั่นจะต้องมีลักษณะใส ไม่มีตะกอนและมีปริมาณกรดน้ำส้มไม่น้อยกว่า 4%
3. น้ำส้มสายชูเทียม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเอากรดน้ำส้ม (Acetic acid) ซึ่งสังเคราะห์ขึ้นทางเคมี เป็นกรดอินทรีย์มี ฤทธิ์เป็นกรดอ่อนมีความเข้มข้นประมาณ 95% มาเจือจางจนได้ปริมาณกรด 4 - 7% ลักษณะใส ไม่มีสี




น้ำส้มสายชูหมักตราไดมอนด์

สรรพคุณของน้ำส้มสายชูหมัก
น้ำส้มสายชูหมัก หรือที่ฝรั่งเรียกว่า ไวเนกร้า ที่เรามักเห็นบ่อย ๆ คือ แอปเปิ้ลไซเดอร์ ซึ่งมีขายทั่วไปในยุโรป อเริกา และที่ญี่ปุ่น ส่วนเมืองไทยก็มีบ้างประปราย ก็คือน้ำส้มสายชูหมักที่ทำจากผลแอปเปิ้ลนั่นเองซึ่งโดยปกติจะมีรสเปรี้ยวจัด การรับประทานส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาผสมน้ำผึ้ง เจือจางด้วยน้ำสะอาด เพื่อกลบรสชาติ และจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะ สรรพคุณของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลมีมากมาย ได้แก่ ช่วยในระบบย่อยและดูดซึมอาหาร ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติ ช่วยล้างทางเดินอาหารและกระเพาะให้สะอาด ล้างสารพิษในร่างกาย ช่วยปรับระดับกรด-เบสในร่างกายให้สมดุล บรรเทาอาการปวดศีรษะ ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยบรรเทาอาหารปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ ช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปกติ บำรุงสายตา ช่วยลดน้ำหนักได้ ใช้ทาผิวรักษาผิวพรรณ ช่วยให้ความจำดีขึ้น แก้ผมแตกปลาย กำจัดรังแค และอาการคันศีรษะ รักษาโรคความดันโลหิตสูง และยังใช้แช่ผักที่มีสารตกค้างได้อีกด้วย ส่วนในบ้านเราซึ่งได้ชื่อว่าแดนสุวรรณภูมิ ถึงแม้จะไม่สามารถปลูกแอปเปิ้ลได้ แต่สามารถหาผลิตภัณฑ์อื่นมาทำน้ำส้มสายชูหมักได้ง่าย  ๆ และคุณค่าไม่ได้ด้อยไปกว่า ของฝรั่งเลย ดังที่นิยมทำกันก็มี กล้วย อ้อย น้ำมะพร้าว ข้าว สับปะรด  ข้าวโพด

วีดีโอที่เกี่ยวข้อง


ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก โดยบล็อกยาอมตะ





ไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมัก


การทำน้ำส้มสายชูหมักเองง่าย ๆ จาก ม.เกษตร

ลิ้งค์ของบทความที่เกี่ยวข้อง

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Best Blogger TipsBest Blogger Tips