ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก

ยาอมตะชุด 1 รักษา เบาหวาน ความดัน หัวใจ เก๊าท์ อัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดข้อ ไหล่ติด หมดความรู้สึกทางเพศ ทำให้หลอดเลือดสะอาด สร้างภูมิต้านทาน ใบหน้าอ่อนวัย ไม่มีสิว

นมบัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์

สรรพคุณ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อโรค ช่วยให้ตับ ม้ามแข็งแรง รักษากระเพาะ และลำไส้ รักษาอาการภูมิแพ้ แพ้อากาศ ทำให้ความดันเป็นปกติ ป้องกันการขยายตัวของมะเร็ง ช่วยละลายนิ่ว อุดมด้วยแคลเซียม ตามธรรมชาติ ฯลฯ

น้ำหมัก ผัก ผลไม้ สมุนไพร เพื่อสุขภาพ

ประโยชน์ของเอนไซม์ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง โดยน้ำหมักจะช่วยให้เซล์ต่าง ๆ แข็งแรง มีอายุยืน และให้พลังงานในการกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติทันที ไม่ปล่อยให้ลุกลามเป็นเนื้อร้าย ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ลดคลอเลสเตอรอล ฯลฯ

น้ำชาหมักเพื่อสุขภาพ คอมบูชา

ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ลดอาการปวดศีรษะไมเกรน และโรคข้ออักเสบ ลดอาการผิดปกติของภาวะเมตาบอลิซึม ลดการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ เบาหวาน โรคเครียดและมะเร็ง ยับยั้งเชื้อที่ก่อโรคในระบบทางเดินอาหารหลายชนิด

สมุนไพรปราบมะเร็ง

รวบรวมสมุนไพรไทยที่พิฆาตมะเร็งได้จริง และสามารถปลูกเองได้ง่าย ๆ

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ยาดองน้ำมูตรเน่า

น้ำมูตร คือน้ำปัสสาวะ หรือที่เรียกกันง่าย ๆ คือฉี่

ฉี่ คือน้ำส่วนเกินที่ร่างกายขจัดออกมาจากเลือดของเราเอง โดยไต (ที่ทำงานปกติ) ทำหน้าที่กรองอย่างดี ทำให้น้ำฉี่ใส มีสีเหลืองอ่อน รสเค็มนิด ๆ มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย ฉี่เป็นน้ำที่มีอยู่ในร่างกายเราอยู่แล้ว เอามาดื่มเข้าไป จะไม่เป็นอันตรายต่อเราแน่นอน เพราะเป็นของตัวเราเอง และไตเป็นอวัยวะที่เปรียบเหมือนเครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ที่สามารถกรองฉี่ได้ใสสะอาด จงจำไว้ว่า ไตไม่ใช่อวัยวะที่ขับของเสียออกจากร่างกาย แต่ของเสียที่เรากินเข้าไปจะถูกกำจัดโดยตับ ซึ่งเปรียบเหมือนโรงงานกำจัดขยะในร่างกาย และของเสียที่เป็นกากจะถูกขจัดออกมาทางลำไส้ (อุจจาระ) น้ำทางเหงื่อ และก๊าซทางหายใจออก

ฉี่ ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
95% ของฉี่คือน้ำ
2.5% เป็น UREA
2.5% เป็นส่วนผสมของเกลือแร่, เกลือ, โฮโมน, เอ็มไซม์
และภูมิคุ้มกัน(Mixture of minerals, salt, hormones
enzymes and antibody)


- มีการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ ชาว Australia 2 คน พบว่า เมื่อดื่มฉี่จะทำให้เรามีสมาธิ จิตใจสดชื่น อารมณ์ดีขึ้น แจ่มใส เพราะในฉี่มีฮอร์โมน ชื่อ Melatonin จะพบในฉี่ตอนเช้า

- นอกจากนี้ในฉี่ยังมี Enzymes ที่ชื่อว่า "UROKINASE" ที่ช่วยละลายไม่ให้เลือดแข็งตัว ช่วยในกรณีคนเป็นโรคหัวใจอย่างรุนแรงได้

- ในงานวิจัย ค้นพบว่าฉี่ของแต่ละคนจะมีผลต่อการทำงานในร่างกายของแต่ละคน (เจ้าของฉี่) โดยจะทำหน้าที่เป็นวัคซีนธรรมชาติ เป็นตัวต่อต้านแบคทีเรียและไวรัส ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ทำให้เกิดความสมดุลย์กับฮอร์โมน และช่วยเรื่องภูมิแพ้ (ฉี่ทำหน้าที่เป็น natural vaccines, antibacterial, antiviral, anti-cancer agents, hormone balances, allergy relievers)

ฉี่รักษาโรคอะไรได้บ้าง?

เท่าที่ได้อ่านตำราและค้นคว้าในเอกสารต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ปรากฏว่ารักษาโรคได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะฉี่จะไปปรับระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา (Immune System) ให้ดีขึ้น ทำให้โรคต่าง ๆ ที่เรื้อรังและร้ายแรงหายได้ เช่น ไข้หวัด ภูมิแพ้ กระเพาะอาหาร ปอด ไอและหอบหืด มะเร็ง และเอดส์ (Chronic Colds, Flu, Stomach Problems, Bronchitis Chronic and Severe Allergies, Asthma, Cancer and AIDS)

การใช้ฉี่มี 2 แบบ คือ แบบใช้ภายใน และแบบใช้ภายนอก
ใช้ภายใน >>


ดื่ม
ดื่มฉี่ตอนเช้า ช่วงกลางของฉี่ (Take the middle stream) โดยเริ่มต้นจาก 5 - 10 หยด ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มจนถึง 1 แก้ว ประมาณ 100cc. มีประโยชน์ในการรักษาโรคทั่วไป
ล้างพิษ
ดื่มฉี่ตลอดทั้งวัน (ยกเว้นตอนเย็น) และดื่มน้ำสะอาดด้วย เป็นการล้างพิษจากร่างกาย โดยทำให้เลือดสะอาดขึ้น พิษ (Toxins) จะถูกกำจัดออกจากร่างกายทางอุจจาระ เหงื่อ และทางหายใจ
กลั้วคอ
เมื่อเรามีอาการเจ็บคอ ปวดฟัน และเมื่อมีอาการไอ เป็นหวัด
สวนก้น
ใช้ Detox โดยการสวนเข้าไปในก้น เพื่อล้างลำไส้ และ
เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Stimulate Immune System)
หยอดหู, ตา
เมื่อมีอาการหูและตาอับเสบ โดยการใช้ฉี่ผสมกับน้ำสุกที่สะอาดหยอดหู และตา
สูดเข้าจมูก
สูดเอาฉี่สด ๆ ตอนเช้าเข้าจมูกทั้งสองข้าง เพื่อล้างโพรงจมูก และคนที่เป็นไซนัส เป็นหวัด ภูมิแพ้ (น้ำมูกไหลเป็นประจำ)

ใช้ภายนอก >>
ใช้ทา, นวดผิวหนัง

โดยการนวดร่างกายทั้งหมดหรือบางส่วน โดยทิ้งไว้ประมาณ 1 ชม. แล้วล้างออก จะช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ หรือผิวหนังที่โดนแดดเผา

ล้างเท้า
กรณีที่มีปัญหาที่ผิวหนัง และเล็บเท้า

ดื่ม
ดื่มฉี่ตอนเช้า ช่วงกลางของฉี่ (Take the middle stream) โดยเริ่มต้นจาก 5 - 10 หยด ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มจนถึง 1 แก้ว ประมาณ 100cc. มีประโยชน์ในการรักษาโรคทั่วไป

สระผม
ช่วยทำให้ผมสะอาด และนุ่มสลวย และอาจจะทำให้ปริมาณผมมากขึ้น


ดื่มอย่างไร?

ดื่มฉี่ดีที่สุด คือ ตื่นนอนตอนเช้าใช้ฉี่ช่วงกลาง เราลองดื่มทดสอบก่อนประมาณ 5-10 หยด แล้วค่อย ๆ เพิ่มให้มากขึ้นได้ ถึง 100cc. หรือมากกว่านั้น แล้วแต่อาการของโรค และประเมินตัวเราเองว่าดีหรือไม่ดีสัก 1 อาทิตย์ผ่านไป บางคนอาจจะมีอาการระบายท้องบ้าง ถ้าดื่มมาก เราลองปรับเปลี่ยนปริมาณของตัวเองดู แต่ไม่มีอันตราย เพราะผมดื่มมานานแล้ว ครั้งแรกเมื่อปี 2540-2541 และเลิกไป ขณะนี้ผมกลับมาดื่มฉี่ใหม่ และดื่มอยู่ทุกวัน ผมเคยแนะนำหลายคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ลองดูก็ได้ผลดีมาก

สิ่งที่ผมทดลองและพิสูจน์แล้วได้ผล 100% คือ การหยุดเลือดกำเดาไหลออกจากจมูก โดยการสูดเอาฉี่เข้าจมูกข้างที่มีเลือดออกมา แล้วกดรูจมูกข้าวนั้นไว้ประมาณ 10 วินาที จากนั้นปล่อยฉี่ออกมาจากจมูกเลือดจะหยุดไหลทันที


การดื่มฉี่ครั้งแรกยากมาก เพราะเรามีความรู้สึกรังเกียจว่าเป็นของสกปรก เป็นของเสีย แต่ผมขอแนะนำให้ทำใจแข็ง อย่าไปคิดว่ามันมาจากไหน คิดว่าเป็นน้ำชา ดื่มแล้วเลยตามเลยอย่าไปคิดมาก เดี๋ยวจะอ๊วกแตก รสชาติเค็มนิดๆ อุ่นๆ กินไม่ยากแน่นอน เมื่อครั้งแรกทำได้ ครั้งต่อไปง่ายมากแล้วจะติดใจลองดู

สังคมไทย ผมว่ามีคนใช้ฉี่รักษาโรคกันมากในรูปแบบต่างๆ แต่ไม่กล้าบอกหรือเปิดเผย เพาะสังคมภายนอกไม่ยอมรับ และคิดว่าคนดื่มฉี่เป็นคนบ้า คนที่เป็นโรคบางคนก็ไม่เชื่อ ไปซื้อยากินดีกว่า ง่ายดี แต่อย่าลืมว่ายาทุกเม็ดที่เรากินเข้าไป เป็นสารเคมีทั้งนั้น ผลค้างเคียงต่อร่างกายในอนาคตเราไม่สนใจ เมื่อเรามีอายุมากขึ้น มันจะแสดงผลออกมา เมื่อนั้นเราจะรู้สึกว่าสายเกินไป

เราหันมาร่วมกันให้ความรู้ แนะนำดื่มฉี่ดีกว่า ไม่เสียเงิน ติดตัวเราไปไหนทุกที่ สะดวกในการนำมาใช้ และที่สำคัญคือ ยาที่ธรรมชาติมอบมาให้เราแล้ว


นักวิจัยย้ำ  'ฉี่' รักษาโรค ทาแก้สิว-สระแก้รังแค

นักวิชาการกรมการแพทย์แผนไทย เผยงานวิจัยตอกย้ำความเชื่อ "ฉี่" รักษาโรคได้หลายชนิด รวมทั้งมะเร็ง ชี้ในปัสสาวะมีสารต้านเชื่อเอชไอวีด้วย ขณะที่รองเลขาธิการ อย.ยัน ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์รองรับ แถมยังมีเชื้อโรคเจือปนอยู่มาก เตือนใช้วิจารณญาณให้ดี

การใช้นำปัสสาวะหรือน้ำมูตร ในการบำบัดโรคต่างๆ ของมนุษย์ ยังคงเป็นความเชื่อที่มีผู้ปฏิบัติตามจำนวนไม่น้อย ล่าสุด นักวิชาการจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ออกมาเปิดเผยงานวิจัยในเรื่องนี้ โดยระบุน้ำมูตรสามารถรักษาโรคได้หลายอย่าง รวมทั้งโรคมะเร็ง

นางราตรี ชีพอุดมวิทย์ นักวิชาการกองการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยงานวิจัยเรื่อง "การศึกษาการใช้น้ำมูตรบำบัดในเครือข่ายชาวอโศก" ว่า สาเหตุที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ก็เพราะเคยมีข่าวปรากฏทั้งทางหน้าหนังสือ พิมพ์และโทรทัศน์ เกี่ยวกับการใช้นำมูตรหรือน้ำปัสสาวะบำบัดโรค โดยเบื้องต้นได้ศึกษาในกลุ่มชาวสันติอโศก เนื่องจากทราบว่าทางผู้ปฏิบัติธรรม หรือพระ มักจะมีความเชื่อในเรื่องการบำบัดด้วยน้ำปัสสาวะ

นางราตรี ระบุว่า ผลการวิจัยพบว่าชาวสันติอโศกส่วนใหญ่จะใช้น้ำมูตรสำหรับทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการดื่ม อาบ สระผม แม้กระทั่งล้างหน้า ซึ่งความเชื่อเช่นนี้ก็ได้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกด้วยว่าพระสมัยก่อนนิยมนำ น้ำมูตรเน่ามาดองกับลูกสมอ หรือลูกมะขามป้อม เพื่อฉันเป็นยารักษาโรค อีกทั้งยังมีความเชื่อของคนจีนโบราณว่าการดื่มปัสสาวะจะทำให้สุขภาพดี

นักวิชาการผู้นี้กล่าวว่า การเข้าไปศึกษาพบว่าผู้ที่ดื่มปัสสาวะส่วนใหญ่จะดื่มกันสดๆ และจะใช้ปัสสาวะของตัวเอง โดยเฉพาะในช่วงเช้า เพราะเชื่อว่าจะมีสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารในปัสสาวะค่อนข้างสูง ทั้งนี้จะดื่มในปริมาณ 1 แก้วถึง 1 แก้วครึ่ง อย่างไรก็ตาม มีบางความเชื่อที่เห็นว่าถ้าจะให้ได้ผลดีต้องเป็นปัสสาวะของเด็ก ซึ่งนอกจากใช้ดื่มแล้ว ยังมีการใช้ปัสสาวะบ้วนปาก สระผม ล้างหน้า เพราะเมื่อใช้แล้วเชื่อว่าจะรักษาผมหงอก รังแค อีกทั้งยังมีสรรพคุณแก้สิว โดยให้เอาสำลีหรือกระดาษทิชชูชุบปัสสาวะปะหน้าเอาไว้


นางราตรี กล่าวว่า การวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาจากลุ่มตัวอย่าง 250 คน พบว่าส่วนใหญ่ที่หันมาใช้น้ำมูตรก็เพราะรับความเชื่อมาจากพระ อ่านจากพระไตรปิฎก และบางส่วนได้รับการบอกกล่าวจากเพื่อนและครู ซึ่งเมื่อทดลองใช้แล้วก็ไม่พบว่ามีผลข้างเคียงใดๆ

นางราตรี ยังระบุด้วยว่า เรื่องการใช้ปัสสาวะมาบำบัดโรคนั้น มีงานศึกษาของต่างประเทศสนับสนุน เช่น งานศึกษาของ ศ.น.พ.จอห์น อาร์เฮอร์มาน แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่นิวยอร์ก ซึ่งเคยตีพิมพ์เผยแพร่ในเจอร์นัล ออฟ แมดิซีน (Journal of Madicine Vol.8 No.7 June 1980) ได้อธิบายว่า "การดื่มน้ำปัสสาวะมีใช้กันทั่วโลก และยังจะแพร่หลายต่อไปอีกมาก ปัสสาวะก็คือส่วนที่สกัดกลั่นมาจากเลือด ถ้าเราไม่ถือว่าเลือดเป็นของสกปรก ปัสสาวะก็ไม่ควรถือเป็นของสกปรกด้วย เพราะปัสสาวะประกอบด้วยสารหลายร้อยหลายพันชนิด"

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของ ดร.อัลเบิร์ต เซนต์ กีออร์กี นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ซึ่งเคยทดลองใช้สารเมทิล ไกลออกซอล ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในปัสสาวะรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาแล้วหลายราย ขณะที่ น.พ.ธรรมาธิกรี รัฐมหาราษฏระ จากอินเดีย ก็ได้ทดลองให้ผู้ป่วย 200 คน ดื่มน้ำปัสสาวะของตัว และติดตามผลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด พบว่าเมื่อดื่มน้ำปัสสาวะแล้ว เซลล์ในร่างกายจะสามารถรับออกซิเจนได้มากขึ้น การเผาผลาญในร่างกายดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดมากขึ้น ในผู้ป่วยทุกรายส่งผลให้ปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดสูงขึ้น

นางราตรี ระบุต่อว่า สำหรับสารเมลาโทนิน ซึ่งอยู่ในน้ำปัสสาวะนั้น นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย พบว่า เมื่อดื่มเข้าไปจะช่วยให้จิตใจสดชื่น แจ่มใส สมาธิดีขึ้น และยังช่วยต้านความชรา ป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย และที่สำคัญนักวิจัยหลายคนเชื่อว่า ปัสสาวะถือเป็นสิ่งดีสำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์ เนื่องจากปัสสาวะของผู้ป่วยเอดส์ไม่ได้มีเพียงสารต้านมะเร็งเท่านั้น แต่ยังมีสารแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี-1 ด้วย


ที่มา:เว็บพลังจิต


ข้อมูลเพิ่มเติม
1. น้ำฉี่ดีจริงหรือ บทความจากชุมชนชาวอโศก
2. การรักษาโรคโดยใช้ปัสสาวะ จากชุมชนชาวอโศก
3. การดื่มน้ำมูตร จากพระไตรปิฎก
4. การรักษาด้วยน้ำมูตร โดยคุณบัวใต้น้ำ
5. ถาม-ตอบ น้ำมูตรรักษาโรคได้จริงหรือ
6. สูตรยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า จากลานธรรม
7. ปัสสาวะบำบัด urine theraphy จากแพทย์ทางเลือก
8. ดาวน์โหลด ไฟล์ pdf urine theraphy (ปัสสาวะบำบัด)

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คอมบูชา kombucha



    การดื่มชา ถือว่าเป็นกระแสนิยมและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย ในกลุ่มผู้บริโภค ทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ วัยทำงานและกลุ่มเด็กวัยรุ่น เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกวางตำแหน่งให้อยู่ในกลุ่มของ เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ( Jane and Balz, 2003 ) จึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ดังนั้นจึงอยากแนะนำเครื่องดื่มชาอีกชนิดหนึ่งให้รู้จัก คือ เครื่องดื่มชาหมัก ซึ่งบางครั้งอาจมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันขึ้นกับแต่ละประเทศ เช่น ประเทศไต้หวัน เรียกว่า Haipo หรือ Tea Fungus ประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า Kocha Kinoko นอกจากนี้ในบางประเทศ ยังรู้จักกันในชื่อของ Kombucha, Kargaksok Tea และ Manchurin Mushroom เป็นต้น

    รสชาดของชาหมักจะมีรสหวานเล็กน้อยและมีรส ออกเปรี้ยว คล้ายกับเครื่องดื่ม Cider เนื่องจากมีส่วนผสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแอลกอฮอล์ปนอยู่ด้วย และมีสารให้กลิ่นรสที่สำคัญในเครื่องดื่มชาหมัก คือ ฟรุกโตส กรดอะซิติก และกรดกลูโคนิค นอกจากนี้ยังพบว่ามี ethyl-gluconate, oxalic acid, saccharic acid, ketoglyconic acid, succinic acid และ carbonic acid อยู่บ้าง ตลอดจนมีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด การบริโภคเครื่องดื่มชาหมักพบว่าเริ่มมีการบริโภคตั้งแต่ปี ค.ศ.220 ในสมัยราชวงศ์ฉิน จากนั้นการดื่มชาหมักจึงได้แพร่ขยายเข้าไปในประเทศรัสเซียและสหรัฐอเมริกา เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อว่าการดื่มชาหมักจะมีผลดีต่อสุขภาพ เช่น เพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันโรค ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยรักษาโรคมะเร็ง รวมทั้งมีผลดีต่อการล้างสารพิษในเลือดและระบบย่อยอาหาร



คลิปสอนการทำคอมบูชา



    การผลิตเครื่องดื่มชาหมัก ทำได้โดยการนำใบชาดำมาต้มในน้ำเดือด เพื่อสกัดสารอาหาร และแร่ธาตุต่างๆ ออกจากใบชา เติมน้ำตาลซูโครสในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อใช้เป็นแหล่งสารอาหาร ในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ แล้วจึงเติมกล้าเชื้อจุลินทรีย์และบ่มทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 7 -10 วัน เพื่อให้จุลินทรีย์ดำเนินกิจกรรมการหมัก ขั้นตอนสำคัญของการผลิตชาหมัก คือ การควบคุมกิจกรรมการหมัก ซึ่งมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายปัจจัย ได้แก่ ชนิดและปริมาณรวมทั้งสัดส่วนของกล้า เชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก คุณภาพของใบชาที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ เนื่องจากชนิดของใบชาจะมีผลต่อ ความแตกต่างขององค์ประกอบสำคัญทางเคมีของปริมาณของแข็งที่สกัดได้ เช่น ปริมาณ caffeine theophyline theobromine และ polyphenol โดยเฉพาะสาระสำคัญในกลุ่ม polyphenol คือ catechins ซึ่งมีสมบัติเป็น bacterio static สามารถช่วยยับยั้งการเจริญของ Streptococcus mutans และจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ในชาเขียวพบว่ามีปริมาณ catechins มากถึง 34 % แต่ในชาดำมีเพียง 4.2 % ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ยกเว้น thearubingens ที่มีในชาดำมากถึง 17 % แต่ไม่พบในชาเขียว ( Stag and Millin, 1975 ) ทำให้คุณภาพชาหมักที่ได้มีคุณภาพแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามในการผลิตชาหมักส่วนใหญ่ แล้วจะใช้ใบชาดำมากกว่าชาชนิดอื่น เนื่องจากคุณภาพชาหมักที่ได้จะมีสี กลิ่น รสชาติที่เฉพาะและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค แม้ว่าจะมีเครื่องดื่มชาหมักที่ผลิตขึ้นจากชาเขียว แต่ก็ได้รับการยอมรับน้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับที่ผลิตได้จากใบชาดำ

ใบชา
ต้มในน้ำเดือด เติมน้ำตาลซูโครส ร้อยละ 5-15 โดยน้ำหนัก
กรองเอาใบชาทิ้ง นำสารละลายที่สกัดได้ทำให้เย็น
เติมกล้าเชื้อจุลินทรีย์
 
บ่มไว้ที่อุณหภูมิห้อง 7-10 วัน โดยปิดด้วยผ้าคอตต้อนที่สะอาด
กรองแยกเชื้อจุลินทรีย์ออก
เครื่องดื่มชาหมัก

รูปที่ 1 กระบวนการผลิตเครื่องดื่มชาหมัก

    ปัจจัยสภาวะแวดล้อมต่างๆ ของการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ พบว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับกิจกรรมการหมักและคุณภาพของเครื่องดื่มชาหมักที่ได้ ได้แก่ ปริมาณสารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นที่จุลินทรีย์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเจริญเติบโต ปริมาณของน้ำตาลซูโครสที่เติมและการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์อื่นๆ ในระหว่างขั้นตอนการผลิต โดยเฉพาะการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากอุปกรณ์และภาชนะต่างๆ ที่นำมาใช้ในการผลิตต้องทำความสะอาด และฆ่าเชื้อก่อนใช้งานทุกครั้ง เพราะเชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนอาจเป็นอันตรายและก่อให้เกิดการเจ็บป่วย ของโรคอาหารเป็นพิษและยังมีผลทำให้เครื่องดื่มชาหมักมีคุณภาพและรสชาติด้อยลง

    การผลิตชาหมักจะใช้วิธีการเรียนรู้แบบถ่ายทอด กันมา หรือเรียกว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน ดังนั้นการผลิตชาหมักจึงไม่มีมาตรฐานการผลิตที่ชัดเจน รวมทั้งยังไม่เป็นที่ทราบ แน่ชัดถึงชนิดและปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ที่ดำเนินกิจกรรมระหว่างการหมักซึ่ง ในทางปฏิบัติจะนำเชื้อจุลินทรีย์จาก การหมักครั้งก่อนมาเป็นกล้าเชื้อเพื่อใช้ในกระบวนการหมักครั้งต่อไป แม้ว่าการผลิตชาหมักส่วนมากจะผลิตใน ระดับครัวเรือน แต่ผลการสำรวจความปลอดภัยของเครื่องดื่มชาหมัก พบว่าชาหมักมีอัตราการปนเปื้อนของ เชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นพิษและก่อให้เกิดอันตรายในอัตราที่ต่ำมาก อาจเป็นไปได้ว่าโดยธรรมชาติของชาหมักซึ่ง มีค่าความเป็นกรด-ด่างต่ำประมาณ 2.5 ทำให้เป็นข้อจำกัดการเจริญของจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคส่งผลให้ชาหมักมี ความปลอดภัยต่อการบริโภค

    อย่างไรก็ตาม ก็มีการวิจัยอยู่บ้างที่ศึกษา ถึงกลุ่มเชื้อจุลินทรีย์ที่ดำเนินกิจกรรมในการหมัก ( Greenwalt et al., 2000 : Liu et al., 1996 ) ซึ่งพบว่าคือ กลุ่มแบคทีเรียและยีสต์ โดยกลุ่มแบคทีเรียที่พบจะเป็นชนิดต้องการอากาศในการเจริญเติบโต และสามารถสร้างสารเซลลูโลสที่มีลักษณะคล้าย surface mold หรือ mushroom ส่วนกลุ่มยีสต์ที่มีบทบาทสำคัญ ในกระบวนการหมัก คือ กลุ่มยีสต์ที่สามารถผลิตสารแอลกอฮอล์ และยังมีงานวิจัยที่ได้ทำการศึกษาการแยก เชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ผลิตชาหมักจากแหล่งผลิตในประเทศไต้หวัน 3 แหล่ง ( Liu et al., 1996 ) ได้แก่ Taipei, Hsinchu และ Chiayi พบว่ามีกลุ่มแบคทีเรีย Acetobacter และยีสต์ เมื่อนำเชื้อจุลินทรีย์ทั้งสอง กลุ่มที่ได้มาจำแนกโดยอาศัยความแตกต่างของคุณสมบัติทาง biochemical และ physiological พบว่า เป็นแบคทีเรียกลุ่ม A. aceti subsp., A. xylinum และ A. pasteurianus ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะคือสามารถผลิตเซลลูโลสได้ ส่วนยีสต์ที่จำแนกได้ คือ S. cerevisae , B. bruxellensis และ Z. balilii สิ่งที่น่าสนใจ คือ ยีสต์กลุ่มนี้ล้วนแต่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารหมัก ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นคือ สามารถเจริญได้ในอาหารที่มีความเป็นกรดสูงและมีน้ำตาลสูง นอกจากนี้ยังอาจ พบยีสต์ชนิดอื่นบ้างแต่ไม่ค่อยมีความสำคัญกับกระบวนการหมัก ได้แก่ C. tropicalis , Debrayomyces nansenii, Torulopsis famata และ Pichia membranefacience เป็นต้น

    การดำเนินกิจกรรมการหมักของแบคทีเรียและยีสต์ จะเป็นแบบพึ่งพาอาศัยกันในลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อกันหรือเรียกว่า stable symbiosis โดยเกิดขึ้นภายใต้บริเวณ โครงสร้างที่มีลักษณะเป็นร่างแหเซลลูโลส กิจกรรมการหมักในระยะแรกยีสต์จะทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลซูโครสให้เป็น น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว คือ กลูโคส และฟรุกโตรส จากนั้นก็จะเปลี่ยนน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวให้เป็นแอลกอฮอล์ ทำให้สภาวะดังกล่าวมีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของกลุ่มแบคทีเรีย Acetobacter ที่สามารถเจริญได้ดีพร้อมทั้งผลิตกรดอะซิติก โดยเฉพาะการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย Acetobacter xylinum ที่สามารถให้ทั้งผลผลิตของกรดอะซิติก กรดกลูโคนิคและเซลลูโลส ทำให้ชาหมักที่ได้มีคุณภาพดี ปริมาณกรดอะซิติกที่เพิ่มขึ้น จะแปรผกผันกับค่าความเป็นกรด-ด่างของสารละลายที่ลดลง ขณะเดียวกันก็จะส่งผลต่อการเร่งการเจริญเติบโตของยีสต์และ ทำให้ยีสต์ผลิตแอลกอฮอล์ได้มากขึ้น ปริมาณแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้นยังสามารถช่วยกระตุ้นให้ Acetobacter เจริญและผลิตกรดอะซิติกได้ดีขึ้นเช่นกัน การที่แบคทีเรีย Acetobacter สามารถออกซิไดซ์แอลกอฮอล์ไปเป็น acetaldehyde และสารให้กลิ่นรสอื่นๆ เป็นผลให้ชาหมักมีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วไป ปกติเครื่องดื่มชาหมักมีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 10 กรัมต่อลิตร ส่วนปริมาณกรดทั้งหมดมีค่าน้อยกว่า 30 กรัมต่อลิตรหรือประมาณ 3 % กรดที่พบในชาหมัก ได้แก่ อะซิติกแลคติก และกลูโคนิค ผลดีของกรดอะซิติก และแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในชาหมักคือ มีคุณสมบัติช่วยยับยั้ง การเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค เช่น Salmonella typhi, Shigella sonnei, Escherichia coli และ Staphylococcus aureus

    การดื่มชา หมักจะมีผลดีต่อ สุขภาพและสามารถสร้างภูมิป้องกันโรค คือ ช่วยต้านมะเร็ง ต้านการเกิดเนื้องอก ต้านการเกิดออกซิเดชั่น ช่วยลดการอักเสบ และยังมีผลต่อการยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค ( Greenwalt, 2000 ; Dufersne and Farnworth, 2000; http://www.happyherbalist.com; http://w3.trib.com/~kombu/FAQ )
   แต่ในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนที่ชัดเจน ในเรื่องสรรพคุณของชาหมักต่อผลของการรักษาโรคหรือป้องกันโรคตลอดจนผลดีต่อ สุขภาพ แต่ก็มีรายงานวิจัยอยู่บ้าง เช่น งานวิจัยของ Dr.Mollenda ที่ได้แนะนำให้คนไข้ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพให้ดื่มชาหมักเป็นประจำ ผลที่ได้พบว่าคนไข้กลุ่ม ที่ดื่มชาหมักมีสุขภาพโดยรวมดีขึ้น มีระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ลดอาการปวดศีรษะ และโรคข้ออักเสบ ช่วยลดการผิดปกติของภาวะเมตาบอลิซึมการทำงานของร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยลดการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ โรคเบาหวาน โรคเครียดในคนสูงอายุ และโรคมะเร็ง และยังมีรายงานว่าชาหมักมีสมบัติในการยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย Helicobacter pylori ที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ รวมทั้งยังช่วยยับยั้งการเจริญของ Salmonella spp., Staphylococcus aureus, Bacillus cereus และ Escherichia coli (http://www.happyherbalist.com; http://www.Kombuc haus tralia.com)

    เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการดื่มชาและ การดื่มชาหมัก พบว่าปริมาณการดื่มชาโดยเฉลี่ยต่อวัน คือ 4 ถ้วยหรือมากกว่า ส่วนการดื่มชาหมักคือ ประมาณ 1-2 ถ้วยต่อวัน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าการดื่มชาถึง 2-4 เท่า สำหรับปริมาณชาหมักที่แนะนำให้ผู้บริโภคทั่วไปดื่ม คือ 100-300 มิลลิลิตรต่อครั้ง หรือต่อวัน แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคงไม่ใช่เฉพาะเรื่องของปริมาณที่ดื่มเพียงอย่างเดียว คงต้องพิจารณาชนิดขององค์ประกอบ คุณค่าทางพฤกษาเคมี และสรรพคุณในเชิงส่งเสริมสุขภาพประกอบด้วย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่าท้าทายต่องานวิจัยในด้านการสร้างองค์ความรู้ ในเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อยืนยันและตอบคำถามว่า “ ชาหมักมีผลดีต่อสุขภาพอย่างไร ”


ที่มา

ข้อมูลเพิ่มเติม

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โยเกิร์ต นมเปรี้ยว



          นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต (อังกฤษ: yoghurt (ภาษาอังกฤษใช้คำนี้เรียกรวม ๆ ทั้งนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต)) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยวโดยมีความเป็นกรด-เบสอยู่ระหว่าง 3.8-4.6 นมเปรี้ยว มี 2 ชนิด คือ ชนิดแรกเป็นนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเป็นน้ำคล้ายเครื่องดื่ม อีกชนิดหนึ่งเป็นนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า โยเกิร์ต



คลิปสอนการทำโยเกิร์ต
วิธีทำโยเิกิร์ต

ประวัติ


          นักประวัติศาสตร์มีความเห็นว่า โยเกิร์ตเป็นอาหารที่รวมอยู่ในโภชนาการของชนเผ่าทราเซียน อันเป็นบรรพบุรุษเก่าแก่ที่สุดของชาวบัลแกเรีย ชาวทราเซียนเก่งในการเลี้ยงแกะ คำว่า yog ในภาษาทราเซียน แปลว่า หนาหรือข้น ส่วน urt แปลว่า น้ำนม คำ yoghurt น่าจะได้มาจากการสมาสของคำทั้งสองข้างต้น ในยุคโบราณราวศตวรรษที่ 4 ถึง 6 ก่อนคริสตกาล ชาวทราเซียนมีวิธีการเก็บรักษาน้ำนมไว้ในถุง ที่ทำจากหนังแกะ เวลาไปไหนต่อไหนก็เอาถุงนี้คาดเอวไว้ ความอบอุ่นจากร่างกายร่วมกับจุลชีพที่มีอยู่ในหนังแกะ ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาการหมักขึ้น น้ำนมในถุงก็กลายสภาพเป็นโยเกิร์ตไป

          นักวิทยาศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า สิ่งที่มีมาก่อนโยเกิร์ตน่าจะเป็นน้ำนมหมักที่ใช้ดื่ม เรียกว่า คูมิส (Kumis) น้ำนมชนิดนี้ทำมาจากน้ำนมม้า โดยชนเผ่าที่มาอยู่ก่อนหน้าชาวบัลแกเรีย เช่น ชนเผ่าที่เร่ร่อนที่อพยพย้ายถิ่นฐานจากทวีปเอเชียมายังคาบสมุทรมัลข่าน ในปี ค.ศ.681
ในยุโรปตะวันตก โยเกิร์ตปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 16 ในราชสำนักของกษัตริย์ฟรานซิสที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ครั้งนั้นกษัตริย์พระองค์นี้ประชวร มีพระอาการปั่นป่วนในท้อง แพทย์ชาวตุรกีผู้หนึ่งจึงทำการรักษาโดยให้เสวยโยเกิร์ตที่นำมาจากบัลแกเรีย เรื่องนี้ศาสตราจารย์คริสโต โชมาคอฟ รายงานไว้ในหนังสือ Bulgarian Yoghurt-Health and Longerity


ประโยชน์
     
  
   คนที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
    โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

    โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง
   ถึงแม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้
   จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
    แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
    ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก
    เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

       การ ทานโยเกิร์ตที่ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่มีการแต่งกลิ่น แต่งรสเพิ่มน้ำตาลลงไป แต่ถ้าไม่ชอบความเปรี้ยวของมัน จะเอาไปทานแทนมายองเนสหรือปั่นรวมกับผลไม้ให้เป็นน้ำผลไม้อร่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดี


ข้อมูลเกี่ยวกับโยเกิร์ตเพิ่มเติม

การดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยโยเกิร์ต
โยเกิร์ตและสรรพคุณ
วิธีทำโยเกิร์ต สูตรที่1
คุยเรื่องการทำโยเกิร์ต จากพันทิป

ข้อมูลอ้างอิง

http://th.wikipedia.org/wiki/นมเปรี้ยว
ประโยชน์จากโยเกิร์ตที่คุณอาจยังไม่รู้ www.oknation.net/blog/diamond

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นมบัวหิมะธิเบต คีเฟอร์ kefir

เม็ดคีเฟอร์ (kefir grain)

นมบัวหิมะธิเบต  (Kefir grains) คืออะไร ? 

หลาย คนอาจเข้าใจว่าคีเฟอร์เป็นพืชหรือเห็ด แท้จริงแล้ว ภายในเม็ดคีเฟอร์ประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ 2 ชนิด ได้แก่ ยีสต์ Saccharomyces exiguus หรือ S. kefir และแบคทีเรียแลคติค (lactic acid bacteria) ที่อยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน (symbiosis) และยึดเกาะกันด้วยสารที่มีลักษณะเป็นเมือกเหนียวประเภทพอลีแซคคาไรด์จนเกิด การก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างคล้ายดอกกะหล่ำ มีสีขาวจนถึงเหลืองอ่อน ขนาดเท่าผลวอลนัทและเล็กได้จนเท่ากับเมล็ดข้าว คีเฟอร์จะมีกลิ่นอ่อนๆ ของยีสต์หรือกลิ่นคล้ายเบียร์ การหมักแลคโทสโดยแบคทีเรียแลคติคจะทำให้เกิดรสเปรี้ยว (กรดแลคติค) ส่วนการหมักโดยยีสต์จะทำให้มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแอลกอฮอล์เกิดขึ้นเล็ก น้อย (ประมาณ 1-2%ขึ้นกับระยะเวลาของการบ่มและอาหารที่ใช้เพาะเลี้ยง) ลักษณะของคีเฟอร์ใกล้เคียงกับโยเกิร์ตแต่ คีเฟอร์จะมีกลิ่นที่แรงกว่าเล็กน้อย โดยทั่วไปนิยมเลี้ยงเม็ดคีเฟอร์ในน้ำนม ซึ่งอาจเป็นนมวัว นมแพะ นมแกะ หรือนมอูฐเพราะมีสารอาหารที่เหมาะสมทำให้เม็ดคีเฟอร์เจริญได้ดี แต่บางครั้งอาจเพาะเลี้ยงในน้ำนมถั่วเหลือง น้ำนมข้าว น้ำกะทิ น้ำผลไม้ หรือน้ำมะพร้าว เม็ดคีเฟอร์ที่เลี้ยงในน้ำผสมน้ำตาลจะเรียกว่า “คีเฟอร์น้ำ (Water kefir)”สำหรับชาวไทยจะคุ้นเคยและรู้จักคีเฟอร์กันดีในชื่อของบัวหิมะธิเบต สามารถเพาะเลี้ยงได้เองตามบ้าน โดยอาจทำในภาชนะแก้วหรือพลาสติก โดยการถ่ายเม็ดคีเฟอร์ที่ได้มาลงในน้ำนม ตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 18-24ชั่วโมง จากนั้นนำมากรองแล้วดื่ม มีความเชื่อกันว่าลักษณะของคีเฟอร์ที่สมบูรณ์จะบ่งบอกถึงสุขภาพของผู้เลี้ยง และต้นเชื้อคีเฟอร์จะต้องได้มาจากการแบ่งปันเท่านั้น ห้ามซื้อขาย ทำให้การผลิตและบริโภคคีเฟอร์ในประเทศไทยยังคงไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เพราะอาศัยการแบ่งปันกันเฉพาะในแวดวงของคนที่รู้จักกัน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าห้ามไม่ให้คีเฟอร์สัมผัสโดนภาชนะโลหะ แต่ความจริงคือในระหว่างการหมักจะเกิดกรดซึ่งอาจมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนโลหะ ออกมาปะปนกับน้ำคีเฟอร์ที่เราจะใช้ดื่ม จึงอาจก่อให้เกิดอันตรายได้






วีดีโอวิธีเลี้ยงนมบัวหิมะธิเบต


ภาพขั้นตอนการเปลี่ยนน้ำนมบัวหิมะธิเบต

นมบัวหิมะธิเบต สรรพคุณ

ใน คีเฟอร์อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ทริปโตเฟน (Tryptophan) แคลเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส มีวิตามิน A, B1, B12, C และวิตามิน K เม็ดคีเฟอร์ประกอบด้วยสารโพลีแซคคาไรด์ที่สามารถละลายน้ำได้ที่มีชื่อว่า kefiran ซึ่งเป็นส่วนที่มีผิวสัมผัสคล้ายวุ้นในปาก kefiran ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โดยมีการศึกษาพบว่าช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในซีรัมของหนู แบคทีเรียที่สร้าง kefiranได้คือ Lactobacillus delbrueckii subsp. bulgaricus หรือ L. kefir คีเฟอร์ที่บ่มนานๆ จะทำให้มีรสเปรี้ยวและทำให้ปริมาณกรดโฟลิค (vitamin B9) เพิ่มขึ้น

ข้อควรจำ
- ห้ามแช่เย็น บัวหิมะจะโตขึ้นเป็น 2 เท่าทุก ๆ 18 วัน (การแช่เย็นจะเป็นการชะลอการเิติบโตของบัวหิมะ)
(ในอากาศร้อนชื้นแบบประเทศไทย บัวหิมะจะโตเร็วกว่าปกติ)
- ห้ามไม่ให้บัวหิมะโดนโลหะที่มีส่วนผสมของเิงินโดยเด็ดขาด
- ใช้ที่กรองพลาสติกใช้แก้วกระเบื้องหรือแสตนเลสห้ามใช้โลหะชนิดอื่น
- การดูแลรักษาบัวหิมะได้ดี ให้มีความสะอาดย่อมจะทำให้สุขภาพของผู้ดื่มนมที่แช่บัวหิมะดีตามไปด้วย เนื่องจากจะได้นมที่สะอาดและมีคุณภาพสำหรับดื่ม


สรรพคุณ
1. สร้างความสมดุลของภูมิต้านทานในร่างกาย
2. ช่วยให้ตับ, ม้ามแข็งแรง
3. ช่วยรักษากระเพาะ และลำไส้
4. ทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ
5. ป้องกันการขยายตัวของมะเร็ง
6. ทำให้ร่างกายเป็นปกติ ลดความเครียด ช่วยบรรเทาความเหนื่อย
7. ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และช่วยลดคอเรสเตอรอล
8. ช่วยละลายนิ่ว
9. สร้างสารปฏิชีวนะในร่างกาย เพื่อช่วยให้การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
10. รักษา ช่วยให้ตับ และระบบการขับถ่ายดีขึ้น

11. บรรเทาอาการภูิมิแพ้ทุกชนิด โดยเฉพาะแพ้อากาศ คัดจมูกตอนเช้า
11. ประกอบด้วยสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ



        ท่านที่ต้องการเลี้ยงคีเฟอร์กรุณาดาวน์โหลดไฟล์ข้างล่างนี้เพิ่มเติมด้วยเพราะมีข้อมูลโดยละเอียด  : ที่จริงทำไว้นานแล้ว แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจจะโหลดเท่าไหร่  สงสัยจะมองไม่เห็น ^_^ สาเหตุที่ทำเป็นไฟล์แยกไว้ต่างหากเพราะว่า 1. กลัวว่าบทความมันจะยาวเกินไป ทำให้หน้าเว็บแลดูรก ๆ ไม่สวย 2. ผู้อ่านบล็อกจะได้นำไปปริ๊นท์และอ่านภายหลังได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดคอมพ์ เพราะมันมีหลักวิชาการอยู่ อ่านเข้าใจได้ยากนิดนึง 3.เมื่อเลี้ยงบัวหิมะไประยะนึง ก็ต้องมีการแจกจ่ายให้ผู้อื่นบ้าง ก็ควรปริ๊นท์บทความนี้แจกไปพร้อมกันด้วย....(เพิ่มข้อความสีแดงเมื่อ 31 พฤษภาคม 2556)

     ดาวน์โหลดไฟล์ประกอบบทความ นมบัวหิมะธิเบต kefir.pdf



4 ธันวาคม 2555

รายงานผลการทานนมบัวหิมะธิเบต
หลังจากที่ผู้เขียนบล็อกได้ลองทานนมบัวหิมะธิเบตมาเป็นเวลา 1 ปี ผลที่เห็นชัดเจนคือ
1. อาการภูมิแพ้คือมีการจามตอนเช้า และคัดจมูกหายไป ภายใน 20 วันแรก ที่ใช้เวลานานหน่อยเพราะว่าตอนได้คีเฟอร์มาตอนแรกมีแค่ 1 ช้อนชาเท่านั้น ต้องอาศัยให้เค้าค่อย ๆ โต
2. ธรรมดาจะเป็นหวัดตอนเปลี่ยนฤดูตลอด เป็นปีละ 3-4 ครั้ง (ตอนเด็กเป็นมากกว่านี้) แต่เมื่อ ทานคีเฟอร์ก็ไม่เ็ป็นหวัดเลย แม้จะอยู่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นหวัดก็ตามที
3. โรคกระเพาะที่ผมเป็นอยู่ หลังจากทานคีเฟอร์ก็ทุเลาบ้างเล็กน้อย แต่ของบางคน (60%) หายเลย คืออาการแสบท้องจะหายเลย แต่ของผมไม่หาย
4. (นอกเรื่อง) อาการของโรคกระเพาะที่เป็นอยู่คือมีอาการแสบท้องตอนหัวค่ำนั้น   กลับดีขึ้นมาก 90% เมื่อได้ทานน้ำหมักจากว่านไพล และลูกว่านขันหมาก 
5. โรคภัยไข้เจ็บอื่นไม่มีเบียดเบียน นอกจาก โดนบุ้ง มีดบาด หัวโน(จากความซุ่มซ่าม)  เล็บขบ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่คนต้องเป็นกันบ้าง (โอ๊ยไม่ต้องบอกก็ได้จ๊ะ:ผู้อ่านครวญ) (ก็บอกสักหน่อย เดี๋ยวเค้าจะหาว่าทานคีเฟอร์แล้วไม่ป่วยมันจะเว่อร์เกิ๊น:ผู้เขียนอธิบาย)
6.  ผมมีวิธีการรักษาตัวกำกับไปด้วยดังนี้
- ออกกำลังกาย (ด้วยการทำงานใช้แรงพอประมาณ) ทุกวัน
- ทำความสะอาดห้องนอนให้มีฝุ่นน้อยที่สุด
- พยายามประพฤติตามคำสอนของพระพุทธองค์คือ ทาน ศีล ภาวนา
- งดน้ำเย็น (คนเป็นภูมิแพ้ ต้องงดน้ำเย็น) เพราะส่วนมากธาตุไฟอ่อน
- ไม่ใช้แอร์ และอยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์
- หัดทานผักเพิ่มขึ้น




วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ยาอมตะ ยาที่ไม่มีวันตาย



                ยาอมตะ คือยาที่ไม่มีวันตาย แต่คนที่กินเข้าไปน่ะ ต้องแก่และตายเหมือนกัน แต่แก่อย่างมีคุณภาพ ตายอย่างไม่เวทนา
               ยาอมตะที่ผมนำมานำเสนอนี้
มีอายุหลายพันปี ผ่านการวิจัยมาหลายชั่วอายุคน จึงมั่นใจในความปลอดภัยว่า มีผลดีมากกว่าผลเสีย
               ยาอมตะ เหล่านี้ผมได้ทดลองใช้มาหมดแล้ว บางวันผมกิน พร้อมกันทุกอย่างเลย ลองดู 1 อาทิตย์ ก็ไม่เป็นอะไร แต่มันมีผลข้างเคียงตรงไข่ดองน้ำส้มสายชูหมักนี่แหละจะมีปัญหาตรงที่มันจะทำให้นกเขาขันมากขึ้น แต่ก็ไม่เป็นทุกคน
               ส่วนคนอื่นที่จะลองนำไปใช้นั้น ขอแนะนำให้ ทำความเข้าใจ และใช้ให้ถูกวิธี  ซึ่งสูตรยาแต่ละตัวจะมีวิธีการทำและวิธีการกินแตกต่างกันไปพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าท่านจะมีโรคประจำตัวหรือไม่ก็ตาม หากกินเป็นประจำ โดยเฉพาะนมบัวหิมะนั้น สุขภาพของท่านก็จะดีขึ้น เหมือนมีเกราะป้องกันโรคภัยต่าง ๆ ขอรับประกัน

              สูตรยามีทั้งหมด 5 สูตร ที่ผมได้ลองแล้ว ดี ทำง่าย ไม่แพง และปลอดภัย คล้าย ๆ กับสโลแกนที่ีว่า ของถูกและดี มีในโลก ส่วนสูตรยาอื่น ๆ นั้น ผมจะลองก่อน ถ้าเห็นว่าดี ผมจะทยอย ๆ ลงมาให้ท่านผู้อ่านครับ ซึ่งตอนนี้ผมกำลัง พิมพ์สูตรยาทั้ง 5 นี้ เป็นไฟล์เวิร์ดไว้ให้โหลด เพื่อสะดวกในการปริ๊นท์ไว้อ่านครับ แต่ตอนนี้ ถ้าสนใจข้อมูลตัวไหน ก็คลิ๊กที่หัวข้อได้เลยครับ

1. คีเฟอร์ หรือบัวหิมะ
    ป้องกันและรักษา มะเร็ง ภูมิแพ้ โรคกระเพาะ กระดูกพรุน ลำไส้ ทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น บางแห่งถึงกับกล่าวว่า เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทาน(from god) เลยทีเดียว ฯลฯ ถ้าใครต้องการก็แจ้งได้นะครับ ของผมเอามาจากประเทศตุรกี ลักษณะเป็นกลุ่มแบบเห็ดหูหนู ไม่เหมือนกับที่แจกทั่ว ๆ ไปครับ ตอนนี้น่าจะแบ่งได้สัก คนสองคนครับ
ดาวน์โหลดไฟล์ประกอบบทความ kefir.pdf
 
    ป้องกันและรักษา ภูมิแพ้ มะเร็งบางชนิดโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้และมดลูก และโรคในระบบทางเดินอาหาร ต้านอนุมูลอิสระ ทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น ซึ่งสรรพคุณนั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของจุลินทรีย์ของโยเกิร์ตด้วย ซึ่งมีงานวิจัยสนับสนุนสรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะงานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น ฯลฯ
3. คอมบูชา
    เป็นชาที่หมักโดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ ระหว่างแบคทีเรียและยีสต์ (scoby) ที่ทำงานโดยพึ่งพาอาศัยกัน และผลิตกรดที่สำคัญขึ้นมาหลายชนิด ช่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบทางเดินหายใจ และช่วยขับสารพิษ ฯลฯ
ดาวน์โหลดไฟล์ประกอบบทความ kombucha.pdf
4. ยาดองน้ำมูตรเน่า
    เป็นตำราจากพระไตรปิฎก เป็นกิจที่พระพุทธเจ้าสอนให้พระทุกรูปควรปฏิบัติคือ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ซึ่งระยะหลัง ๆ มานี้ มีงานวิจัยที่สนับสนุนบ้างพอสมควร
5. น้ำหมักชีวภาพ จากผักผลไม้และสมุนไพร
    เป็นน้ำหมักผักผลไม้และสมุนไพรต่าง ๆ โดยวิธีทางธรรรมชาติ โดยมีเอนไซม์เป็นตัวหลัก มีกรดแลคติก กรดน้ำส้มชูโรง ช่วยกำจัดเซลล์ที่เสื่อม และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทน ฯลฯ  
    ดาวน์โหลดไฟล์ประกอบบทความ 
enzyme.pdf  หรือ enzyme.doc
6. ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก
    เป็นตัวยาที่ช่วยล้างหลอดเลือดทั้งหมดในร่างกาย รวมไปถึงหลอดเลือดฝอยด้วย ละลายหินปูน ละลายไขมันได้ดี เห็นผลได้ชัดเจน โดยเฉพาะโรคความดัน
ดาวน์โหลดไฟล์ประกอบบทความ kaidong.pdf

สูตรยาทั้ง ๖ นี้ จะมีสรรพคุณที่คล้าย ๆ กันดังนี้
1. ต้านอนุมูลอิสระ
2. ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ที่เป็นโทษในระบบทางเดินอาหาร
3. เสริมสร้างภูมิต้านทานให้ดีขึ้น
4. บรรเทาโรคภูมิแพ้
5. ยับยั้งเซลล์มะเร็ง
6. ร่างกายมีเรี่ยวแรง ลดอาการอ่อนเพลีย
7. ล้างหลอดเลือด
8. ลดความเครียด
9. ปรับสมดุลในร่างกาย
10. ทำให้ระบบโดยรวมในร่างกายดีขึ้น


             สูตรยาแต่ละตัวนั้น จะมีสรรพคุณเด่นกันคนละอย่าง ดังนั้นผู้ใช้ต้องเลือกเอา ดูว่าในตัวเองนั้น มีโรคอะไรบ้าง และเลือกดูสูตรยาที่ตรงกับโรคเรามากที่สุด
อย่างเช่น ถ้าเป็นโรคไซนัส ก็ควรจะเป็นไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมัก เพราะ้ต้องอาศัยการทะลวงเส้นเลือดฝอย
ถ้าเป็นมะเร็งเต้านม ก็ควรจะเป็นบัวหิมะ
ถ้าเป็นเด็ก ในวัยเจริญเติบโต เป็นภูมิแพ้ เป็นหวัดง่าย ก็ควรจะเป็นโยเกิร์ต เพื่อเสริมแคลเซียม อย่างนี้เป็นต้น


      เพื่อความสมบูรณ์ของร่างกายอย่างแท้จริง ควรปฏิบัติตัวตามนี้ประกอบด้วย
1. กีฬา เป็นยาวิเศษ ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ ครึ่งชั่วโมง จะวิ่ง หรือเต้นแอโรบิค ก็ได้
2. งดดื่มน้ำเย็น สิ่งเสพย์ติด เช่น กาแฟ บุหรี่ เหล้า
3. กินข้าวกล้อง
4. งดอาหารทอด เพราะของทอดมีอนุมูลอิสระจำนวนมาก
5. โดนแดดยามเช้า ยามเย็น บ้าง

6. กินผักสด ผลไม้สดให้มาก ๆ

7. ลดแหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ มาเป็นแหล่งโปรตีนจากพืช เช่น ถั่ว 3 อย่างบ้าง
8. ทำใจให้สบาย ฝึกจิตฝึกใจตามคำสอนของพระพุทธองค์ คือ ทาน ศีล ภาวนา แล้วแผ่บุญกุศลที่ได้ทำไว้ในแต่ละวันให้กับเจ้ากรรมนายเวร ตัวอย่าง มีคนนึงเป็นมะเร็ง ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า คนนั้นเคยทำร้ายผู้มีพระคุณไว้โดยรู้เท่าไม่ถึงการ โดยเอาวัวเอาควายที่เคยช่วยทำนามาตลอด ไปขายให้โรงฆ่าสัตว์ วัวควายโดนทุบจนตายตรงไหน ก็ทำให้เป็นมะเร็งในจุดนั้น ท่านจึงให้อุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เป็นโรคมะเร็ง อย่างนี้เป็นต้น

               การที่งดอะไรหลาย ๆ อย่างแบบนี้ อย่าคิดว่าชีวิตขาดรสชาดนะครับ ร่างกายของท่านจะดีขึ้น จิตใจก็จะปลอดโปล่ง สบายกาย สบายใจ กินอะไรก็อร่อย ๆ ซึ่งมันดีกว่า ที่จะต้องกินของอร่อยแล้วถึงจะอร่อย เป็นไหน ๆ เพราะอร่อยไม่อร่อย มันสำคัญอยู่ที่ลิ้นเราต่างหากครับ ดังที่ศรีธนญชัยหลอกให้พระราชาซึ่งเป็นโรค เบื่ออาหาร เพราะกินแต่ของดี ๆ และขาดการ ออกกำลังกาย ศรีธนญชัยพาพระราชาเดินเข้าป่าไป หลอกว่าจะพาไปหายาที่ทำให้หายจากโรคเืบื่ออาหาร พระราชาก็เชื่อเสด็จตามไป เดินทางจนครึ่งค่อนวันแล้ว ก็ไม่ถึงซักที จนสุดท้ายพระราชาเดินตามไปไม่ไหว บอกให้ศรีธนญชัยหยุด และให้แก้ข้าวห่อออกมากิน ปรากฎว่า ข้าวห่อธรรมดานั้นก็เป็นอาหารอร่อยชั้นยอดขึ้นมาทันที ก็เป็นอันว่าพระราชาได้ยารักษาโรคเบื่ออาหารตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Best Blogger TipsBest Blogger Tips